เกมส์

เกมส์

My Dream Miracal ตอนที่ 5 ถ้ำเคตัส

บันทึกที่ 5 ถ้ำเคตัส

หลังจากที่เราหนีขึ้นต้นไม้ได้แล้ว ฉันคิดว่าเราจะรอด แต่…..

“ ไม่นะ !! ” ฉันตะโดนดังลั่น ไซม็อนตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยตัวเคตัสที่ยืนรออยู่ พวกมันจับตัวไซม็อนไปได้ในที่สุด พวกเคตัสต่างช่วยกันแบกตัวไซม็อนขึ้นแล้วเดินจากไป พวกมันต่างพากันโฮ่ร้องด้วยความยินดี

“ ช่วยฉันด้วย อริส!” ไซม็อนร้องขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันจะปล่อยเพื่อนให้ตกอยู่ในอันตรายไม่ได้

“ รอก่อนนะ! ฉันกำลังไปช่วย ” ฉันกระโดดลงจากต้นไม้ พวกเคตัสส่วนหนึ่งแบกไซม็อนหนีไป แต่อีกส่วนหนึ่งก็ตรงมาทางฉัน

“ เข้ามาซิ เข้ามา ฉันไม่กลัวพวกแกหรอก ” ฉันทำท่ากำหมัดตั้งท่าเพื่อรอต่อสู้ พวกมันเริ่มเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เคตัสตัวหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา ฉันหลับตาปี๋แล้วเหยียดขาออกไป

โพล้ะ !! ฉันดันเตะไปโดนตัวเคตัสตัวนั้นอย่างแรง จนมันกระเด็นออกไป พวกเคตัสตนอื่นเห็นดังนั้น พวกมันวิ่งกรูเข้ามาทางฉันทันที ฉันใช่กระเป๋าตีไปที่พวกมันโดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่แล้วฉันก็ต้องเสียท่าพวกมันจนได้ ฉันล้มลง พวกมันพากันแบกตัวฉันขึ้นฉันหมดแรงที่จะสู้พวกมันได้แล้วตอนนี้

“ หยุดก่อน!!! ไอพวกกบ ” ฉันหันไปตามเสียง ราคูพูดขึ้นแค่ประโยคเดียวเท่านั้นพวกเคตัสก็โยนฉันทิ้ง แล้วรีบวิ่งหนีไป

“ ไปให้พ้นเลยนะ ไอพวกกบ อาหารฉันเสียรสชาติหมด ” ราคูไล่พวกเคตัสไป พวกมันวิ่งหนีไปจนหมด แล้วราคูก็เดินมาพาฉันเข้าไปในถ้ำใต้โพลงไม้

“ คุณเป็นใครกันคะ ทำไมพวกเคตัสถึงกลัวคุณ ” ราคูเดินไปนั้งหน้าเตาผิงแล้วตอบว่า “ ฉันคือราคู เทพแห่งป่าตะวันตกในดินแดนดรีมเมเนเฟีย ไอพวกกบน่ะมันก็ต้องกลัวฉันอยู่แล้วล่ะ แต่ว่าเธอนี้เก่งนะหาทางออกจากตาข่ายฉันจนได้ ”

“ แล้วคุณกินเนื้อจริงหรือคะเห็นไซม็อนบอกว่าคุณไม่กินเนื้อ ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ ตอนแรกก็ไม่กินหรอก แต่เห็นพวกเจ้าแล้วฉันอยากกินขึ้นมาเลย ” ราคูพูดแล้วก็หัวเราะ ฉันว่าเขาแค่อยากจะแกล้งพวกเรามากกว่าอยากกินเรา

“ ราคู คุณช่วยเพื่อนฉันด้วย ” ฉันขอร้องจากใจหวังว่าราคูคงจะใจออน

“ ไม่ใช่เรื่องของข้า ทำไมข้าต้องช่วยเพื่อนเจ้าด้วยล่ะ ” ราคูพูดเสียงแข็ง

“ ถ้าไม่มีไซม็อนแล้วฉันจะช่วยดินแดนแห่งนี้ได้ยังไงกัน ” ฉันบอกกับราคู ราคูทำสีหน้าแปลกใจ “ เธอมาเพื่อช่วย ดรีมเมเนเฟียหรอ? ”

“ ใช่คะ ! ” หลังจากฉันตอบคำถามนั้น ราคูเดินวนรอบๆตัวฉันด้วยท่าทีสงสัย

“ มองหน้าหนูทำไมคะ ” ฉันถามด้วยความกังวล “ ไม่มีอะไรหรอก เธอคือ อริสใช่มั้ย ” ราคูรู้จักชื่อของฉัน

“ ใช่คะ ” ฉันตอบ จากนั้นราคูก็เอาแต่หัวเราะ เขาเดินไปเดินมาพร้อมกับหัวเราะอย่างกำลังสะใจ

“ แล้วคุณจะไปช่วยเพื่อนหนูมั้ย ” ราคูหยุดหัวเราะแล้วหันมาทางฉัน “ ฉันจะไปช่วยอะไรเธอได้ล่ะ เธอจะมาช่วยดินแดนแห่งนี้ เรื่องแค่นี้เธอก็น่าจะจัดการเองได้ไม่ใช่หรอ ” ราคูพูดอย่างนี้หมายถึงอะไร เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย แต่ถ้าเขาไม่ช่วย ฉันจะไปช่วยเอง ฉันเดินออกจากที่นั้นทันที

“ จะไปไหน? ” ราคูถามฉัน

“ ก็ไปช่วยเพื่อนไงล่ะ ” ฉันตอบด้วยความโมโห ราคูเดินมาที่ฉันแล้วถามฉันว่าทำไมฉันถึงมาที่นี้ ฉันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พอเล่าจบสีหน้าของราคูก็ดูเปลี่ยนไป สีหน้าของราคูในตอนนี้เหมือนเขากำลังดีใจ

“ เธอมาช่วยพวกเราจริงๆ หรอ ” ราคูจ้องมาที่หน้าฉัน

“ จริงคะ ถึงแม้ความจริงมันจะไม่ใช่สิ่งที่หนูคิดไว้ก็ตาม ” ฉันพูดด้วยความไม่มั่นใจ หลังจากนั้นราคูก็มีสีหน้าที่เป็นมิตรมากขึ้น

“ ฉันจะไปช่วยเพื่อนเธอเอง ” ฉันตกใจแล้วถามต่อว่า “ ทำไมล่ะคะ ก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นอยากไปช่วยเพื่อนหนูเลย แล้วอะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจ ”

“ ฉันเบื่อกับการที่เห็นดินแดนแห่งนี้เป็นอย่างนี้เต็มทีแล้ว เมื่อก่อนดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่มีแต่ความสงบสุข แต่อยู่ดีดีดินแดนแห่งนี้ก็กลับกลายเป็นนรกไป ก่อนหน้านี้ก็มีชายคนหนึ่งมาที่นี้ เขาชื่อ อดัม ”

ฉันตกใจที่ได้ยินชื่อนั้น “ คุณรู้จักคุณปู่ด้วยหรอคะ ” ฉันถามราคูทันที “ รู้จักซิ เธอเป็นหลานของเขาหรอ ” ราคูถามอย่างตกใจเช่นกัน ฉันพยักหน้า ราคูรีบเดินไปหยิบวัตถุปริศนาชิ้นหนึ่งมาให้ฉัน

“ ถ้าเธอเป็นหลานเขา ฉันก็ขอมอบสิ่งนี้ให้กับเธอติดตัวไว้ ”

“ นี่มันคืออะไรคะ ” ฉันหยิบมันขึ้นมา จ้องไปที่รู้เล็กๆตรงกลางวัตถุปริศนา

“ มันคือเข็มทิศ ที่จะบอกทางให้เธอ ไปในทุกที่ที่เธออยากไป ” ราคูบอกฉันเช่นนั้น แต่ลักษณะของมันดูเหมือนก้อนหินแหลมๆที่ดำสนิทก้อนหนึ่ง ซึ่งมีรูอยู่ตรงกลางเท่านั้น

“ ปู่ของเธอเป็นคนดีมาก เขาก็พยายามช่วยพวกเราแต่วันหนึ่งเขาก็หายตัวไป ” ราคูก้มหน้าแล้วพูดต่อว่า “ ฉันหวังว่าสิ่งนี้ คงจะนำทางเธอให้ไปช่วยเจ้าตุ๊กตาแมวตัวนั้นได้นะ ”


“ แล้วไม่ไปด้วยกันหรอคะ ” ฉันถามราคูด้วยความสงสัย

“ ไปด้วยไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นสัญญาระหว่างข้ากับพวกเคตัส ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับการหาอาหารของพวกมัน แต่ข้าจะให้สิ่งที่พวกมันกลัวไป ข้าช่วยได้แค่นี้จริงๆ ซึ่งถ้าเจ้าไปช้า เจ้าตุ๊กตาแมวอาจจะตกเป็นอาหารของพวกมันแล้วก็ได้ ” ราคูพูดเสียงแข็ง

“ แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่า พวกเคตัสพาไซม็อนไปไว้ที่ไหน ” ราคูจ้องไปที่หินเข็มทิศ “ ก็ใช้นี่ไง ”

ฉันออกมาจากถ้ำของราคูแล้วเดินเรื่อยๆ ในมือก็กำหินเข็มทิศไว้แน่น สายตาก็มองไปที่มันด้วยความสงสัยว่า จะใช้เจ้าหินก้อนนี้ยังไง ฉันกำมันไว้ในมือ แล้วลองหลับตาอธิฐาน แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น แล้วจะให้ทำวิธีไหนล่ะ ฉันคิดในใจด้วยความโมโห แล้วเอานิ้วชี้จิ้มลงไปในรูตรงกลางหินแล้วยกขึ้นมา

“ ฉันอยากไปที่อยู่ของพวกเคตัส!!!! ” ฉันตะโกนเสียงดังด้วยพลังโมโห


มันได้ผล! หินเข็มทิศที่คาอยู่ที่ปลายนิ้วชี้เริ่มหมุนซ้ายหมุนขวา แล้วปลายของมันก็เปล่งแสงสีเหลืองออกมา มันหยุดแล้วชี้ไปทางด้านซ้ายมือของฉัน

ฉันออกเดินไปตามทางที่เข็มทิศนั้นชี้ไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆแสงสีเหลืองก็ดับลงแล้วกระเด็ดหลุดออกจากนิ้วฉันเองโดยอัตโนมัติ ฉันหยิบมันขึ้นมาดู นี้ถึงแล้วหรอ ไม่เห็นมีอะไรเลย ป่าหิมะว่างเปล่า หินนี้ไม่เห็นได้เรื่องเลย ฉันกำมันแล้วกระโดดเพื่อพยายามจะโยนมันทิ้งไป

โอ๊ยยยย!!!!!!

ฉันร้องด้วยความตกใจ อยู่ดีๆฉันก็ตกลงมาในหลุมแล้วไหลลงมาตามช่องเล็กๆ ไม่นาน....

ตุ๊บ!!!!

ฉันตกลงมาบนพื้นหนึบๆ เขียวๆ น่าขนลุก ไม่ใช่แค่ที่ฉันอยู่ แต่ที่นี้ทุกที่ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน

เสียงประหลาดดังขึ้นมาจากข้างใต้ที่ฉันอยู่ พอมองลงไปข้างล่าง ก็เห็นพวกเคตัสเป็นพันๆตัว ต่างนอนกรนหลับกันอย่างน่าเกียจ เคตัสสองตัวที่ทำท่าทางเหมือนทะเลาะกันอยู่มุมถ้ำ ฉันมองหาไซม็อนก็เหลือบไปเห็น นั้นไซม็อน !! ไซม็อนถูกจับใส่กรงห้อยไว้บนผนังข้างหลังเจ้าเคตัสสองตัวนั้น

“ ไซม็อน! ไซม็อน ! ” ฉันตะโกนเบาๆไม่ให้พวกเคตัสได้ยิน “ ไซม็อนหันมาทางนี้ซิ! ” แต่ดูเหมือนไซม็อนจะไม่ได้ยินเสียงของฉันเลย

ฉันพยายามปีนลงไปอย่างช้าๆและให้เบามากที่สุด เพื่อไม่ให้พวกเคตัสตื่น ฉันค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามตัวเคตัสแต่ละตัวอย่างช้าๆ บางตัวนอนเหยียดแข้งขาไปมาหวุดหวิดจะโดนตัวฉัน

“ คูกิกาลู” เคตัสตัวหนึ่งส่งเสียงแปลกๆขึ้นมา ฉันตกใจถอยหลังไปล้มชนเคตัสอีกตัวที่หลับอยู่ มันพลิกตัวแล้วเอามือข้างหนึ่งมาทับขาฉันแน่น ฉันตกใจจะร้องออกมาแต่ทำได้แค่เอามือมาอุดปากตัวเองไว้แน่น เคตัสตัวที่ส่งเสียงร้องมันพลิกตัวแล้วกลับไปหลับต่อ ทำฉันตกใจแถบแย่ ฉันพยายามยกมือของเคตัสที่ทับขาฉันออกอย่างช้าๆ –ฮึบ- ดูเหมือนจะไม่ได้ผล –ฮึบ- ขาของมันเล็กแต่หนักมาก ฉันไม่สามารถเอามันออกได้

ฮึบ!!! ครั้งนี้ขานั้นยกขึ้นโดยที่ฉันไม่ต้องออกแรงมากเท่าไร

แปะ! แปะ!

น้ำเขียวๆ หนืดๆ หยดลงมาตรงขาอีกข้างหนึ่ง ฉันเงยหน้าขึ้นไปดู ตัวเคตัส! มันตื่นแล้ว

“ กีคานามูอูดู้ ” มันพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเป็นภาษาแปลกๆ แล้วก็จับขาฉันลากเดินไปตามทาง เคตัสตัวอื่นๆก็เริ่มตื่นขึ้นมา แล้วส่งเสียงแปลกๆกันดังกระหึ่ม

“ อริส! เธอมาที่นี้ได้ยังไง? ” ไซม็อนถามด้วยความดีใจ

“ ก็มาช่วยเธอไง อุ๊ย! ” ฉันตอบยังไม่ทันจบ เคตัสมันก็โยนฉันเข้าไปในกรงอีกอันที่อยู่ข้างๆไซม็อน แล้วมันก็ดึงฉันขึ้นไปเรื่อยๆ จนฉันห้อยอยู่ในกรงเท่ากับไซม็อน

“ นึกว่าเธอจะไม่มาช่วยฉันซะแล้ว ” ไซม็อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆด้วยความดีใจ

“ ต้องมาซิ ” ฉันตอบ “ ฉันนึกว่าพวกมันกินเธอไปแล้วซะอีก ” ฉันกระซิบไปที่ไซม็อน

“ ตอนแรกมันก็จะกินฉัน แต่มันพูดอะไรกันไม่รู้ซักพักมันก็จับฉันมาไว้ในกรงบ้าๆนี้ล่ะ ” ไซม็อนตอบพลางเอามือเล็กๆ เขย่าไปที่กรง

“ แล้วเธอล่ะ รอดจากพวกมันได้ยังไง ” ไซม็อนทำตาโตแต่ก็โตได้แค่นิดเดียว

“ ราคูงะล่ะ เขาช่วยฉันไว้ ”

“ ราคูไม่กินเธอแล้วหรอ ” ไซม็อนถามด้วยความสงสัย “ เห็นว่าเขาจะกินพวกเราไม่ใช่หรอ ”

“ อืม! เขายังให้เจ้าหินเข็มทิศนี้มาเพื่อตามหาเธออีกด้วย เขารู้จักกับคุณปู่ฉันด้วยนะ ” ฉันหยิบหินเข็มทิศจากกระเป๋าแล้วให้ไซม็อนดู
“ มันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดา ”

“ อย่ามองอะไรแค่ภายนอกซิ มันทำอะไรได้มากกว่าที่เห็นนะ ” ฉันยิ้มแล้วเก็บมันลงกระเป๋าทันที สายตาฉันก็ต้องสะดุดกับอะไรบางอย่างในกระเป๋า

“ ฉันรู้วิธีออกจากที่นี้ได้แล้วล่ะ ” ฉันมองไปที่พวกเคตัส แล้วก้มลงไปหยิบแผ่นหินที่ราคูได้ให้ไว้ก่อนมาถ้ำเคตัส

“ เธอจะใช้ไอ้แผ่นหินนั้นขว้างหัวพวกมันแล้ววิ่งหนีหรอ ” ไซม็อนถามฉันด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“ บ้าหรอไง !” ฉันอุทานออกมา “ ราคูบอกว่า พวกมันกลัวแผ่นหินนี้มาก ” ไซม็อนเหมือนจะเริ่มเชื่อฝีมือฉัน ฉันตะโกนเรียกพวกเคตัสอย่างดัง มีเคตัสสองตัวที่เฝ้ากรงขังเดินตรงมาทันที

“ ไซม็อนอยู่เฉยๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง ” ฉันหันไปบอกไซม็อนเพราะตอนนี้สีหน้าของไซม็อนเริ่มซีดมากอย่างเห็นได้ชัด

ฉันชูแผ่นหินนั้นให้เคตัสสองตัวนั้นดู พอมันเห็นมันทำหน้าตกใจกลัวแล้วรีบหมอบลงกับพื้นทันที

ไซม็อนหัวเราะดังลั้น “ ปล่อยพวกข้าไปซะ ไอพวกกบตัวเขียว ” มันตัวหนึ่งรีบเอากุญแจมาไขแล้วปล่อยเราออกจากกรงอย่างมือสั่น
เรายืนหันหน้าไปทางพวกมันแล้วชูแผ่นหินขึ้นให้สูงที่สุด พวกมันค่อยๆตื่นขึ้นทีละตัว เมื่อมันแต่ละตัวตื่นขึ้นก็ต้องกลับไปนอนหมอบลงกับพื้นทันทีพร้อมกับส่งเสียงฮือฮากันดังสนั่นด้วยความกลัว

“ สงสัยพวกมันคงกลัวแผ่นหินนี้มากจริงๆเลยนะเนี้ย ” ไซม็อนถามพลางเดินกอดอกแล้วยืดอกเล็กๆขึ้น “ หลบไปเลยพวกกบตัวเขียว เห็นไหมพวกข้ามีอะไร ถอยๆ ” ไซม็อนเดินนำฉันแหวกพวกเคตัสออกไป

ถ้ำของพวกเคตัสใหญ่และกว้างมาก กว่าจะเดินไปถึงปากถ้ำก็ต้องเดินผ่านพวกเคตัสไปตลอดทาง เดินไปได้ซักพัก ก็เห็นลำธารไหล่ตัดผ่านตัวถ้ำอยู่ข้างหน้า ไซม็อนเดินไปไกล้ลำธารด้วยความมั่นใจ พร้อมกับบ่นด่าพวกเคตัสไปเรื่อยๆ โดยพวกเคตัสก็ก้มหน้าแล้วหมอบอยู่ข้างๆเต็มไปหมด

" พอแล้วอย่าด่าพวกมันมากเลย เดี๋ยวมันโกธรขึ้นมาจะมากินพวกเราซะเปล่าๆ ” ฉันบอกไซม็อน

ไซม็อนหยุดชะงักลงโดยไม่ทันตั้งตัว

“ พวกมันจะมากินเราได้ยังไง ” ไซม็อนจับมือฉันขึ้นมา “ ในเมื่อเรามี....”

แผ่นหินหลุดจากมือฉัน กระเด็ดไปตกในลำธารทันที

“ ไซม็อน! ทำอะไรน่ะ ” ฉันตะคอกไซม็อนด้วยความโมโห “ แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ ”

เคตัสตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา แล้วไม่เห็นแผ่นหินที่มือฉัน มันส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณ เคตัสทุกตัวลุกขึ้นแล้วเดินๆช้ามาทางเรา

“ เอาแล้วไง มันล้อมเราไว้หมดแล้ว มอบตัวดีไหม? ” ไซม็อนหันมาถามฉัน

“ จะบ้าหรอ เราไม่ได้กำลังจะโดนตำรวจจับนะ ” ฉันหันไปดุไซม็อน “ คิดซิว่าจะเอาไง ”

พวกเคตัสเริ่มเดินเข้ามาไกล้ๆอย่างช้าๆ มันส่งเสียงคำรามพร้อมโชว์ฟันแหลมๆออกมาพลางจะบอกว่าหนีไปใหนไม่รอดแน่
“ ไซม็อนมองไปที่ลำธารซิ พอจะลงไปเก็บมันขึ้นมาได้มั้ย ” ฉันถาม

“ เดี๋ยวจะรองดู ” ไซม็อนกระโดดลงไปในลำธาร น้ำแรงมากพัดไซม็อนลอยออกไป ฉันเห็นไม่ได้ทีเลยกระโดดตามลงไป ฉันและไซม็อนร้องตะโกนเสียงดังพร้อมไหลไปตามสายน้ำ พวกเคตัสวิ่งตามเราอยู่รอบๆลำธารบางตัวก็วิ่งลงตามเรามา เราเริ่มไหลออกห่างจากพวกเคตัสไปเรื่อยๆ ไหลไปในช่องลำธารเล็กๆยาวสุดลูกหูลูกตา

“ อริส!!” เสียงไซม็อนตะโกนด้วยความตกใจ ไซม็อนพยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำจะมาทางฉัน แต่สายน้ำพัดแรงและเราอยู่ห่างจากกันพอสมควร

“ นั้น !!! มีลำธารน้ำแยกข้างหน้า ” ไซม็อนตะโกนแล้วชี้ไปข้างหน้าอีกไม่ไกล

My Dream Miracal ตอนที่ 4 ดินแดน ดรีมเมเนเฟีย

บันทึกที่ 4
ดินแดน ดรีมเมเนเฟีย

ตอนนี้ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า เซนเดอร์โรส์น มันคือดอกไม้อะไร ฉันได้รับปากกับลุงฮีมิสส์ไว้ว่าจะเป็นคนตามหามันเอง แล้วฉันจะไปหามันได้ที่ไหนกันล่ะ นี่ก็มึดมากแล้วฉันควรเข้านอนเพื่ออมแรงเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้

“ อริส ! ว่าไงเจอไหม ? ฉันหวังว่าเธอจะเจอมันแล้วน่ะ ” เจ้าตุ๊กตาแมวตาปรือเข้ามาเข้าคุยกับฉัน ฉันตกใจมากกระโจนลุกขึ้นไปนั้งอยู่ปลายเตียทันที

“ นี้มันเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันหรอ เจ้ามีชีวิตจริงๆใช่ไหม ” ฉันถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง

“ ก็ใช่น่ะซิ ยังไม่ชินอีกหรอฉันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆจากคำอธิฐานของเธอในวันคริสต์มาสไงล่ะ ตกลงแล้วเธอได้มันมาหรือเปล่าตำราชุบชีวิตน่ะ ”

“ ฉันหามันเจอแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะไปหา เซนเดอร์โรส์นได้ที่ไหน ” เจ้าแมวตาปรือกระเทิบเข้ามาไกล้ๆฉันแล้วพูดว่า

“ ก็ฉันนี่ล่ะ ที่จะเป็นคนพาเธอไปเอง ”

ฉันมองไปที่เจ้าตุ๊กตาแมวน้อยอย่างสงสัยว่าจะพาฉันไปที่ไหนแล้วจะไปโดยวิธีใด

“ อริส เธอไม่ต้องกังวลไปหรอกมีฉันอยู่ ฉันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ” เจ้าตุ๊กตาพูดด้วยท่าทางโอหังยิ่งนัก

“ ก่อนอื่นบ้านเธอมีกระจกบานเก่าซักบานไหมล่ะ ” เจ้าตุ๊กตาถามฉัน ฉันก็ตอบไปว่ามี แล้วฉันก็เดินลงไปที่ห้องเก็บของค้นหากระจกเก่าๆมาบานหนึ่งแล้วฉันก็พบมัน มันเป็นกระจกบานขนาดพอเหมาะ กระจกบานนี้ฉันได้มาในตอนไปเที่ยวที่เมืองไทย มันเป็นกระจกที่สวยมากเพราะมีลวดลายที่เป็นลายกนก ดูไปยิ่งเก่าก็ยิ่งสวยมากเลยทีเดียว ฉันเอามันขึ้นไปบนห้องทันที พอถึงห้องเจ้าตุ๊กตาแมวก็เอากระจกบานนั้นใส่กระเป๋าสีม่วงใบหนึ่งให้ฉันสะพายมันไว้ แล้วก็ลากฉันให้ขึ้นไปนอนบนที่นอนแล้วก็บอกว่า “ อริส ! หลับซะเราจะไปกันแล้ว ”

“ แล้วเจ้าจะพาฉันไปที่ไหนกัน ” ฉันผยุงตัวขึ้นแล้วถามไปด้วยความตกใจ

“ ก็เธอกำลังจะตามหาเซนเดอร์โรส์นไม่ใช่หรอ ฉันจะพาเธอไปเอง ” เจ้าตุ๊กตาแมวพูดจบก็พลักให้ฉันล้มตัวลงนอน แล้วเอามือฉันมาโอบกอดตัวของมันไว้แน่นราวกับตอนนี้ ฉันกำลังนอนกอดตุ๊กตาเวลานอนอย่างไงอย่างนั้น แต่แล้วฉันก็หลับไปจริงๆ ตอนนี้รู้สึกถึงความมืดมิดในยามหลับได้อย่างชัดเจนความเงียบสงัดเริ่มเข้ามาคลอบงำตัวฉัน

“ อริส! ตื่นได้แล้วตอนนี้เรามาถึงแล้ว ” เจ้าตุ๊กตาแมวปลุกฉันให้ตื่นจากการหลับไหล สิ่งที่ฉันเห็นสิ่งแรกในตอนนี้คือ หิมะ ฉันนอนอยู่บนพื้นที่มีหิมะปรกคลุมอยู่ หิมะกำลังตกแต่งฉันกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นเลยแต่อย่างไร ที่นี้ซินะที่คุณปู่พูดถึง เรามาถึงแล้ว ฉันลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ

“ ที่นี้ที่ไหนหรอเจ้าตุ๊กตาแมว ”

“ ที่นี้เรียกว่า ดรีมเมเนเฟีย หรือโลกแห่งความฝันยังไงล่ะ ” ดรีมเมเนเฟียหรอ มันช่างสวยงามเหลือเกินจริงๆ นี้เราอยู่ในความฝันของเราเองซินะ

“ อริส อย่ามัวชื่นชมกับธรรมชาติสีขาวนี้อยู่เลยเรามีภาระกิจที่ต้องทำไม่ใช่หรอ ” เจ้าแมวพาฉันออกเดินทางทันที แต่ฉันก็ข้องใจว่าเจ้าตุ๊กตาแมวรู้หรอว่าเซนเดอร์โรส์นอยู่ที่ไหน

“ เจ้าตุ๊กตาแมวเจ้ารู้หรอว่าเซนเดอร์โรส์นอยู่ที่ไหน ” เจ้าตุ๊กตากอดอกแล้วตอบว่า

“ ก็ต้องรู้สิ แต่อริส! ช่วยเรียกชื่อข้าซักทีเถอะข้าเบื่อกับการที่เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าตุ๊กตาเต็มทีแล้ว ”

“ แล้วเจ้าชื่อว่าอะไรล่ะ เจ้าตุ๊กตาแมวตาปรือ ” ฉันถามไปด้วยท่าทีที่ขบขัน

“ ข้าชื่อว่า ไซม็อน ” เจ้าตุ๊กตาตนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง

“ เจ้าจะตะโกนเสียงดังไปทำไมกัน กลัวฉันไม่ได้ยินมันหรือไง รู้แล้วว่าเจ้าชื่อไซม็อนโอเคไหม ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตลกเพื่อแกล้งเจ้าไซม็อน แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้ามากมายวิ่งตรงมาทางพวกเรา ฉันกับไซม็อนพยายามหาทางที่มาของเสียงฝีเท้าเหล่านั้น แล้วฉันก็เห็นรอยเท้าเล็กๆวิ่งมาเต็มพื้นที่มีหิมะปรกคลุมอยู่ แต่ไม่เห็นร่างเจ้าของรอยเท้านั้นแต่อย่างใด

“ นั้นรอยเท้าอะไรน่ะไซม็อน แต่ไม่เห็นตัวของเจ้าของรอยเท้านั้นเลย ” ฉันยังพูดไม่จบไซม็อนก็วิ่งนำฉันไปแล้ว เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นก็ปรากฎร่างขึ้น ตัวของมันดูมันแพล็บน่าขยักแขยง ฉันไม่รอช้ารีบวิ่งตามไซม็อนไปทันที ระหว่างที่เราวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้นไซม็อนก็หันมาพูดกับฉันว่า

“ นั้นคือตัว เคตัส มันเป็นสัตว์ประหลาดตัวเขียวที่มีรูปร่างเหมือนกบแต่เดิน2ขามันเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กแต่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ”

แฮ็กๆๆ..เสียงหอบจากการวิ่งของฉัน ฉันหันไปหาพวกมันขนาดของมันโตประมาณเอวฉัน พวกมันทำปากเหมือนหิวโหยมากแต่ละตัวต่างทำเสียงคำรามอย่างโหยหวน

“ แล้วทำไมตอนแรกถึงไม่เห็นตัวพวกมันล่ะ ” ฉันถามไซม็อนด้วยความสงสัย

แฮ็กๆๆ “ ก็เพราะไม่ให้เหยื่อเห็นตัวพวกมันไงล่ะ นั้นล่ะคือความสามารถของพวกมัน มันคงได้ยินเสียงฉัน ก็เลยหวังจะวิ่งมากินพวกเรามั่ง ” เราทั้งสองวิ่งไปได้ซักพักใหญ่ พวกมันวิ่งเข้ามาไกล้แล้ว

“ ไซม็อนรอฉันด้วย ” ฉันวิ่งสะดุดก้อนหินเล็กๆก่อนหนึ่งล้มลง “ ไซม็อนฉันลุกไม่ไหว ช่วยด้วย!! ”

“ พยุงตัวขึ้นแล้วมาทางนี้ ” ไซม็อนลากฉันไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ พวกเคตัสวิ่งเลยไป พวกมันไม่เห็นเราเลยซักนิด “ ฮะ...ฮัท..ฮัท...ฮัท.. ” ไซม็อนรีบเอามือเล็กมาปิดปากฉันไม่แน่น

“ จะมาจามอะไรตอนนี้อีกล่ะ เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาอีกหรอก ” ฉันอั้นมันเอาไว้รอให้พวกเคตัสไปให้ไกลจากตรงนี้เสียก่อน แต่มือฉันก็ไปจับโดนอะไรเข้า

กรี๊ด!!!! มือฉันไปจับโดนหางของเคตัสตัวหนึ่งเขา “ ไป! ออกไปนะ ” ฉันลากไซม็อนวิ่ง เคตัสตัวนั้นมันส่งเสียงดังเรียกพวกของมันให้ย้อนกลับมา พวกมันเริ่มทำการวิ่งไล่ฉันอีกรอบ

แฮ็กๆๆๆ เสียงหายใจเริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาเริ่มลดลงและหายไปในที่สุด เราคงหนีมันมาทันแล้วล่ะ พวกเราวิ่งมาหยุดลงบริเวณสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกปรกคลุมไปด้วยหิมะ น้ำในนั้นแข็งเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ฉันรู้สึกกระหายน้ำมากในตอนนี้ ฉันชโงกมองลงไปในสระก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น

หน้าฉัน? ทำไมฉันถึงหน้าตาเหมือนกับเจ้าหญิงที่เห็นในฝันตอนนั้นเลยล่ะ ไม่ใช่แค่หน้าตา ฉันสังเกตทุกส่วนของร่างกาย นี้ฉัน!!โตเป็นเด็กสาวอายุประมาณ 16ไปแล้วได้อย่างไรกัน ไม่จริงมั่ง ? ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าภาระหน้าที่ที่ฉันต้องทำมันมากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะแล้วซิ

“ ไซม็อน เจ้าเห็นความผิดปรกติในตัวฉันตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ” ไซม็อนพยักหน้า

“ แล้วทำไมถึงไม่ทักฉันซักคำว่าร่างกายฉันเปลี่ยนไป ”

“ อย่าลืมซิว่านี้มันความฝันของเธอนะ เธออยากโตเป็นสาวเร็วๆ เธอก็เป็นสาวแล้วไง ” ฉันตกใจกับคำพูดของไซม็อน แสดงว่าเรื่องราวในนี้ฉันเป็นผู้กำหนดอย่างนั้นหรือ แต่ฉันไม่ใช่คนที่กล้าหาญแล้วฉันจะชนะกับความกลัวของฉันได้อย่างไร

“ อริส ฉันมีความลับจะบอกเธอ ” ไซม็อนทำสีหน้าไม่สู้ดีแล้วจองที่หน้าฉัน

“ เธอเห็นดินแดนนี้หรือเปล่าที่นี้มีเพียง 2 ฤดู คือหนาวกับร้อนช่วงฤดูหนาวหิมะจะตกหนักพอถึงฤดูร้อนที่นี้จะกลายเป็นทะเลทรายไม่มีวัน ที่ว่าที่นี้จะคืนความเขียวขจีดังเดิมได้ ”

“ เจ้าพูดอย่างนี้แสดงว่าที่นี้เคยเขียวขจีมาก่อนใช่ไหม แล้วทำไมที่นี้ถึงได้เป็นอย่างนี้ล่ะ ”

“ เป็นคำสาปของคามาซอตซ์ เทพแห่งความชั่วร้าย เขาได้มาครอบครองดินแดนแห่งความฝันและโกธรแค้นพวกมนุษย์ผู้ใหญ่ เพราะพวกมนุษย์ผู้ใหญ่ไม่เชื่อเรื่องความฝัน ความฝันจึงมีเฉพาะในจินตนาการของเด็กๆเท่านั้น แต่พอเด็กเติบโตขึ้นจินตนาการแห่งความฝันนี้ก็จะหายไป คามาซอตซ์เลยสาปที่นี้ให้เป็นเช่นนี้ตราบชั่วนิจนิรันดร์จนกว่าจะมีสัตว์ที่มีความบริสุทธิ์มาพร้อมกับหญิงสาวบริสุทธิ์มาที่ดินแดนแห่งนี้เพื่อช่วยปลดปล่อยให้ดินแดนดรีมเมเนเฟีย กลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม แล้วสัตว์ตนนั้นก็คือม้ายูนิคอร์น ”

“ ก็ไม่เห็นยากเลย ที่นี้มันดินแดนจินตนาการนะ ไม่มียูนิคอร์นเลยซักตัวเหรอ ”

“ คามาซอตซ์ได้สาปยูนิคอร์นที่นี้ทุกตัวให้กลายเป็นหินแล้วทำลายร่างของทุกตัวทิ้ง เหลืออยู่ตัวหนึ่งที่ท้องแก่ไกล้คลอดหนีไปได้ ” ไซม็อนบอกว่าเหลือเพียงตัวเดียวคือยูนิคอร์นที่ท้องแก่ไกล้คลอดอย่างนั้นหรอ แล้วเมื่อมันคลอดลูกออกมามันก็ต้องตายแล้วลูกของมันก็คือ...

“ แซร์ร่า !! มันคือยูนิคอร์นตัวสุดที่จะช่วยดินแดนแห่งนี้ไว้ได้ ”

เสียงฉันสั้นไปพร้อมๆกับตัวฉันในตอนนี้ ฉันว่าแล้วภาระกิจในครั้งนี้คงไม่ใช่แค่ตามหาเซนเดอร์โรส์นเพียงอย่างเดียวเพราะเหมือนทุกอย่างได้ถูกจัดวางไว้ตั้งแต่แรกเรียบร้อยแล้วทั้งความฝันในตอนนั้น ตำราชุบชีวิต เจ้าไซม็อนที่เป็นตุ๊กตาแมวมีชีวิต รูปปั้นแซร์ร่า และคุณปู่ คุณปู่ขา...ตอนนี้ภาระหน้าที่มันใหญ่เกินกว่าที่หนูจะรับผิดชอบมันได้ หนูจะทำอย่างไรดีคะ ตอนนี้ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยคนเดิม ถึงแม้ร่างกายฉันจะโตแต่ฉันก็ยังเป็นเด็กน้อย อริส อยู่ดีล่ะนะ

“ เธอไม่จำเป็นต้องทำเพื่อที่นี้ก็ได้นะ อริส! เธอจะกลับตอนนี้ก็ได้ เพียงเธอหยิบกระจกในกระเป๋าบานนั้นออกมา สัมผัสไปที่มัน แล้วเราก็จะได้กลับบ้านกัน ปล่อยให้.. ดรีมเมเนเฟีย เป็นเพียงจินตนาการ เดี๋ยวพอเธอโตเธอก็จะลืมมันไปเอง ” ไซม็อนพูดกับฉัน แต่ฉันไม่ยอมหรอกถึงฉันจะเป็นเด็กที่ขี้ขลาดแต่ฉันก็ไม่ใช่เด็กที่เห็นแก่ตัวนะ ฉันเองก็อยากจะเห็นที่นี้ ที่ดินแดน ดรีมเมเนเฟีย กลับมาเขียวขจีดังเดิมเหมือนกันล่ะ

“ ไซม็อนฉันรับภาระกิจนี้ เราจะช่วย ดรีมเมเนเฟียไว้ด้วยกันนะ ” ไซม็อนดีใจที่เห็นฉันมีความกล้ามากขึ้นฉันก็ดีใจเช่นกันที่ตัดสินใจเช่นนี้

เราเริ่มออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆแล้วไซม็อนก็เห็นถ้ำๆหนึ่งแต่ฉันมองมันดูเหมือนว่าเป็นโพลงต้นไม้ขนาดใหญ่ยักษ์มากกว่า เราเลยเดิมเข้าไปไกล้ๆ

โอ๊ย!!!!!

มีตาข่ายขนาดใหญ่ดึงเราขึ้นไปแขวนไว้กับต้นไม้ตอนนี้เราอยู่สูงห่างจากพื้นพอสมควร ฉันกับไซม็อนติดกับดักของใครก็ไม่รู้ ตาข่ายมันหนาและใหญ่มากจนเราไม่สามารถที่จะดิ้นให้หลุดออกจากตาข่ายนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ ช่วยเราด้วย ” ฉันร้องเรียกให้ใครก็ได้ให้มาช่วยเราออกจากตาข่ายนี้ไป แต่ไซม็อนก็เอามือมาอุดปากฉันไว้แน่น

“ เดี๋ยวพวกเคตัสก็แห่มาที่นี้อีกหรอก หุบปากไว้แล้วคอยดูสถานการณ์ดีกว่า เรายังไม่รู้เลยนะว่าคนทำกับดักนี้ขึ้นมีจุดประสงค์อะไร เราเองอาจจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือมาติดเองก็ได้ออมแรงไว้ดีกว่า ดูๆไปก่อนรอเขามาแล้วค่อยร้องก็ยังทัน ถ้าเขามาร้ายนะ ” ไซม็อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่วิตกกังวลอะไรเลย แต่ฉันรู้สึกสังหรใจว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ๆ

ฉันกับไซม็อนนั้งรออยู่ในนี้มาเป็นชั่วโมงๆแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาเลย ฉันเลยคิดว่าจะหาทางออกไปจากที่ตรงนี้ ฉันเอาฟันกัดไปที่เชือกถึงมันจะหนามากแต่ถ้ากัดนานๆก็คงจะขาดซักเส้นล่ะนะ

“ ทำไปก็เปล่าประโยชน์ ” มีเสียงลึกลับดังมาจากในโพลงต้นไม้ยักษ์ต้นนั้น

“ ทำไปก็เปล่าประโยชน์ ฟันของเธอน่ะไม่มีทางจะทำลายตาข่ายของฉันได้หรอก ” มีร่างค่อยๆโพล่ออกมาจากโพลงต้นไม้ยักษ์ ฉันแทบไม่เชื่อสายตาที่มันตัวอะไรอีกล่ะ มีหัวเป็นสิงโตแต่งตัวเป็นม้า

“ ปล่อยพวกเราไปเถอะนะท่าน ราคู ” ไซม็อนวิงวอนกับราคูให้ปล่อยพวกเราไป

“ ไซม็อนรู้จักเขาด้วยเหรอ ” ฉันถาม ไซม็อนตอบว่า “ นี้คือท่านราคูผู้คุมป่าตะวันตก ท่านเป็นคนดีใจเย็นไว้อริสเรามีคนช่วยแล้ว

“ ยินดีที่ได้รู้จัก.. ปล่อยน่ะปล่อยแน่แต่รอฉันหิวก่อนล่ะนะ ” ราคูเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอันดังก้อง

“ เป็นคนดีเหรอจะกินเรานี้นะ แล้วยังไงล่ะที่นี้ ไซม็อน! ฉันบอกให้หนีแต่แรกก็ไม่เชื่อ เห็นแล้วหรือยังว่าเขาเป็นคนไม่ดีเขามาร้ายทีนี้เราจะทำอย่างไรต่อล่ะ หรือเราจะรอเป็นอาหารเขาดี " ฉันโกธรมากและกลัวมากด้วยฉันยังไม่อยากมาตายตอนนี้หรอกนะ

“ ความจริงท่านราคูไม่ใช่สัตว์กินเนื้อนี้ ท่านจะทำกับดักไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าไปรบกวนเท่านั้น แต่ทำไมนะถึงได้คิดจะกินเรา ” ไซม็อนเหมือนจะยังคิดไม่ตกกับท่าทางของราคูที่เปลี่ยนไป

“ อาหารอาจไม่มีมั่ง ก็เลยหันมากินเนื้อสัตว์ไงล่ะ มาคิดดีกว่าว่าเราจะออกจากที่นี้ยังไง ”

คิด คิด คิด คิด .....ปิ๊ง !!! คิดออกแล้ว

“ ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วยคะ ใครอยู่แถวนี้ ช่วยเราด้วยคะ....” ฉันร้องตะโกนอย่างสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ ไซม็อนก็เอามือมาปิดปากฉันไว้อีก

“ แถวนี้ไม่มีใครมาช่วยเราหรอกนะ แถวนี้มันเขตของ เคตัส ไม่มีใครกล้าเขามาในเขตนี้หรอกนะ นอกจากราคูผู้คุมป่าเท่านั้น ร้องไปเถอะแทนที่จะมีคนมาช่วยแต่เดี๋ยวเคตัสมันก็จะมากินเราให้เราตายเร็วขึ้นอีกน่ะซิ ”

“ ฉันรู้น่ะ ! ว่าจะทำให้เราหนีไปจากที่นี้ได้อย่างไร ช่วยกันตะโกนเร็วเชื่อฉันเชื่อใจฉันซิ ” ไซม็อนเหมือนจะไม่เข้าใจในแผนการของฉันแต่ไซม็อนก็ทำตามที่ฉันบอก เราทั้งสองร้องตะโกนอย่างเสียงดัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงกองทัพฝีเท้าเริ่มดังเข้ามาไกล้ๆ

“ มาแล้ว! ไซม็อน พวกเคตัสมันมาแล้ว ”

“ ใช่... มันจะมาช่วยทำให้เราได้ตายเร็วขึ้น ” ฉันจับตรงหัวตาข่ายที่เกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่อีกกิ่งหนึ่งไว้แน่นแล้วให้ไซม็อนจับไว้ที่กิ่งอีกต้นข้างๆฉัน แล้วพยายามเอาขาขึ้นให้ห่างจากก้นตาข่ายให้มากที่สุด

ตัวเคตัสปรากฎร่างขึ้นต่อหน้า มันพากันกัดกินก้นตาข่ายจนขาดแล้วพยายามกระโดดเพื่อจะกินพวกเรา พอก้นตาข่ายขาดหมด เราก็พยายามดึงตาข่ายออกจากตัว แล้วปีนขึ้นไปในบนต้นไม้ใหญ่ พวกเคตัสไม่สามารถปีนขึ้นมาได้พวกมันเอาแต่กระโดดไปมา ฉันคิดว่าเดี๋ยวมันก็หน่อยแล้วกลับไปเอง

แต่มันไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดมันกระโดดอยู่เป็นชั่วโมงๆ ไม่มีทีท่าว่ามันจะเหนื่อยเลยด้วย พวกมันกลุ่มหนึ่งหยุดกระโดด แล้วพยายามที่จะปีนต้นไม้ขึ้นมาแต่พวกมันก็ปีนไม่สำเร็จ มันจึงใช้ฟันของมันแทะต้นไม้ต้นที่ไซม็อนขึ้นไปหลบอยู่พอตัวหนึ่งแทะ ตัวที่สองสามสี่ก็ตามมาแทะ โคนต้นไม้ที่ไซม็อนอยู่กำลังจะโคล่นลงมา แต่ต้นไม้ยังไม่ทันจะโคล่น แต่ตอนนี้ไซม็อนกำลังจะตกจากต้นไม้แทน เพราะต้นไม้โอนไปเอียงมาฉันเห็นแล้วว่าไซม็อนน่าจะเกาะได้อีกไม่นานแน่ๆ

“ อริส! ช่วยฉันด้วย ฉันจับต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ แขนตุ๊กตาจะขาดอยู่แล้ว ” ไซม็อนร้องขอความช่วยเหลือแต่ฉันจะช่วยได้อย่างไรล่ะ

“ อดทนไว้นะไซม็อน เดี๋ยวฉันส่งมือไปหาแล้วจับมือฉันไว้นะ ” ฉันเอื่อมมือข้างหนึ่งไปเกาะที่กิ่งไม้เล็กๆที่ปลายต้นของฉันแล้วส่งมืออีกข้างยืนไปหาไซม็อน

“ จับมือฉันซิ ส่งมือมา ” ไซม็อนจับมือฉันไม่ถึงแขนตุ๊กตาของเขาเล็กและมันสั้นเกินไป ฉันพยายามพยับเข้าไปให้ไกล้กว่านี้อีก ก็ยังจับมือของไซม็อนไม่ถึงอยู่ดี

“ เหวี่ยงตัวมาหาฉัน ตัวเธอทำด้วยนุ่นน่าจะเบาพอที่จะเหวี่ยงตัวเองมาหาฉันได้เอามือข้างหนึ่งจับที่กิ่งไม้แล้วเหวี่ยงตัวกระโดดมาหาฉันเดี๋ยวฉันจะรับเอง ” ไซม็อนพยายามหากิ่งไม้ที่เขาคิดว่าแข็งแรงที่สุดเพื่อจะเป็นแรงส่งในการที่เขาจะเหวี่ยงตัวออกไป ไซม็อนเอามือจับที่กิ่งไม้แน่นแล้วเหวี่ยงตัวเองพร้อมปล่อยมือข้างหนึ่งออก

เป๊าะ !!!!

เสียงกิ่งไม้หัก กิ่งไม้ที่เขาจับอยู่ข้างหนึ่งก็ได้หักลง แต่เขาเอามืออีกข้างไปจับกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งไว้ได้ทัน ฉันถอดหายใจเฮือกโต

“ เอาใหม่นะไซม็อน จับแน่นๆ ลองใหม่อีกรอบ ” ฉันให้กำลังใจให้ไซม็อนรองใหม่อีกรอบ กิ่งไม้เหลือเพียงกิ่งนั้นกิ่งเดียวถ้าเขาเหวี่ยงตัวไม่ทันหรือกิ่งไม้นั้นหักก่อนที่เขาจะเหวี่ยงตัวเขาไม่รอดแน่ ใครก็ได้ช่วยไซม็อนด้วย

“ ฉันจะเหวี่ยงตัวไปแล้วนะ รอรับฉันด้วยอริส ” ไซม็อนตัดสินใจเหวี่ยงตัวเองอีกครั้ง

เป๊าะ !!! เสียงของกิ่งไม้กิ่งสุดท้ายหักลง พร้อมกับร่างเล็กๆของไซม็อนก็ตกลงบนพื้นทันที

My Dream Miracal ตอนที่ 3 ตำราชุบชีวิต

บันทึกที่ 3
ตำราชุบชีวิต

ฮีมิสส์เริ่มตัดใจแล้วในการหาอดัม เขาก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ไกล้ๆแซร์ร่า จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายของอดัมที่ฝากถึงฮีมิสส์ หลังฮีมิสส์อ่านจดหมายจบ ก็ได้นำรูปปั้นแซร์ร่ากลับบ้าน แล้วนำรูปปั้นไปวางไว้ในสวนหลังบ้านทันที จัดการปลูกดอกกุหลาบแดงไว้ในบริเวณนั้นและดูแลรูปปั้นแซร์ร่าและสวนดอกกุหลาบเสมอมา โดยไม่ให้ใครมาทำอะไรมันได้โดยเด็ดขาด

“ แล้วคุณปู่ล่ะค่ะ ลุงฮีมิสส์ ” หลังลุงฮีมิสส์เล่าเรื่องทั้งหมดจบฉันก็ถามด้วยความสงสัยมาก คุณปู่หายไปได้ยังไง ไหนพ่อกับแม่บอกว่าท่านเสียไปแล้วไงล่ะ

“ ฮืม... แม่เริ่มหิวแล้วล่ะลูก วานลุงฮีมิสส์หน่อยนะค่ะ ” ลุงฮีมิสส์ยังไม่ทันจะตอบ พ่อกับแม่ก็ดักคอซะก่อน ฉันก็เลยไม่รู้ว่าตกลงแล้วท่านอยู่ที่ไหนกันแน่ทำไมไม่มีใครยอมบอกฉันซักที ว่าคุณปู่อยู่ไหน ท่านได้จากฉันไปแล้วจริงเหรอ ในเมื่อไม่มีใครยอมเล่าให้ฉันฟัง ฉันก็จะหาคำตอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองก็ได้ ฉันเดินตามลุงฮีมิสส์เข้าไปให้ครัว

“ ลุงฮีมิสส์ค่ะ ในจดหมายคุณปู่เขียนอะไรไว้คะ” ฉันเริ่มสงสัยในจดหมายฉบับนั้นทันทีเพราะข้อความในจดหมายมันต้องมีความลับอะไรซ้อนอยู่แน่นอน ลุงฮีมิสส์เหมือนรู้ว่าฉันอยากสำรวจภายในจดหมายฉบับนั้นลุงไม่พูดอะไรแล้วเดินหายไปแต่ไม่นานลุงฮีมิสส์ก็เดินมาพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น

“ลองเอาไปอ่านดูนะครับแต่อย่าให้พ่อแม่คุณหนูรู้เรื่องนี้ล่ะ”

“คะ !ลุงฮีมิสส์ หนูสัญญาด้วยเกียรติ์ของ เบล์วตั้น ” ฉันไม่ได้สัญญาเล่นๆนะ เรื่องนี้ฉันเอาจริง ทำไมน่ะหรอ ตั้งแต่ฉันมาที่นี้ก็มีแต่เรื่องแปลกๆมันพอที่จะเป็นเหตุผลในการที่ฉันจะสนใจเรื่องนี้มากพอมั้ย?

แต่ว่าไป ในจดหมายฉบับนี้มันมีข้อความอะไรอยู่กันแน่นะ เปิดจดหมายออกอ่านมันตรงนี้ล่ะ แต่...ถ้าใครมาเห็นเข้าล่ะ จะมีใครอยู่ตรงนี้หรือเปล่านะ ฉันมองทางซ้ายปลอดคน ทางขวามีนกอยู่หนึ่งตัว อืมม.. แต่ไม่เอาดีกว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ฉันเข้าไปอ่านในห้องนอนดีกว่าชัวกว่าเยอะ

<< ถึง ... ฮีมิสส์
ถ้านายได้จดหมายฉบับนี้ฉันแสดงว่านายเจอแซร์ร่าแล้ว ฉันหวังว่าจะกลับตามมาในไม่ช้า ฉันขอโทษที่หนีนายออกมาเพราะฉันไม่อยากให้นายต้องมาเป็นอันตรายเพราะฉัน อีกอย่างฉันเป็นห่วงแซร์ร่ามันกลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป แต่มันก็สายไปแล้ว พอฉันไปถึงที่นั้น ภาพที่ฉันเห็นต่อหน้าคือ แซร์ร่าที่กลายเป็นรูปปั้นหินไปซะแล้ว ฉันไม่รู้ว่าอะไรทำมัน ฉันได้แต่คิดหาวิธีที่จะให้มันกลับมาเหมือนเดิม และฉันก็นึกถึงยาชุบชีวิตขึ้นมามันเป็นวิธีเดียวแล้วหละฮีมิสส์ ที่เราจะช่วยมัน ตอนนี้ที่นายมีตัวยาครบแล้วส่วนหนึ่งขาดเพียงส่วนผสมสิ่งสุดท้ายซึ่งมันอยู่ที่นี้ฉันจะออกไปเอามันมา แล้วฉันจะส่งแซร์ร่าไปก่อนนายต้องเอารูปปั้นหินแซร์ร่าไปไว้ในสวนดอกไม้หลังบ้าน เอาดอกไม้ชนิดอื่นออกแล้วปลูกดอกกุหลาบไว้เพียงอย่างเดียว อย่าลืมนะว่า ต้องเป็นดอกกุหลาบนายต้องดูแลสวนนั้นอย่างดี จนกว่าฉันจะกลับไป
อีกเรื่องหนึ่งคือ ดูแลหนังสือนั้นอย่าให้ใครเอาไปได้นะจำไว้แล้วฉันจะรีบกลับไป
ดูแลตัวเองด้วย
อดัม.. >>>

คุณปู่มีคู่มือทำยาชุบชีวิตด้วยจริงๆหรอเนี้ย การที่คุณปู่หายตัวไปเพราะตามหาตัวยาเพื่อมาทำเป็นยาชุบชีวิตให้แซร์ร่า ดังนั้นเราต้องช่วยคุณปู่ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาหนังสือเล่มนั้นซะก่อน หนังสือเล่มนั้นยังคงต้องอยู่ในบ้านหลังนี้แน่ๆ แต่ในห้องหนังสือของคุณปู่มีหนังสือมากมายซะขนาดนั้นแล้วฉันจะไปหาเจอได้ยังไงกันล่ะ แต่เอ๊ะ! ในจดหมายคุณปู่บอกให้ลุงฮีมิสส์เก็บมันไว้นี้หน่า เราก็ไปเอามาจากลุงฮีมิสส์ก็สิ้นเรื่องนี้ง่ายจะตาย

ห่า...................

“อะไรนะคะ! คุณลุงหามันไม่เจอ ได้ยังไงกันในเมื่อลุงเป็นคนเก็บมันไว้แล้วแบบนี้หนูจะรู้ได้ยังไงว่าตัวยาสุดท้ายคืออะไร ”

“ลุงจำได้ว่าหลังจากที่ท่านอดัมสั่งให้ลุงเก็บลุงก็เก็บมันไว้ในห้องทำงานของท่าน ไว้บนชั้นหนังสือนั้นล่ะครับ นี้ไงกุญแจมันยังอยู่ที่ลุงอยู่เลยเห็นมั้ยครับคุณหนูลุงเก็บมันไว้อย่างดีจริงๆ ” เอ๋...หนังสือที่ต้องใช้กุญแจ ซวยแล้วฉัน ฉันทำมันหายเองนี้ ต้องเป็นหนังสือเล่มนั้นแน่ๆ ฉันไม่หน้าซนเลย แล้วอย่างนี้ฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี้ย

เอาอย่างนี้ดีกว่าเราต้องไม่ให้ลุงฮีมิสส์รู้ก่อน ต้องให้ลุงออกไปจากตรงนี้ก่อน ฉันเลยแกล้งหิวทันทีแล้วพยายามจะให้ลุงฮีมิสส์ออกจากห้องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะถ้าแกรู้ว่ามันหายไปเพราะฉันล่ะก็ ตายแง่ๆ ในที่สุดลุงฮีมิสส์ก็ต้องตกหลุมพลางของฉันจนได้ แต่ลุงฮีมิสส์ดูท่าแล้วจะดูงงๆเล็กน้อย อย่าพึ่งสนใจอะไรเลยเวลามีน้อย รีบหามันให้เจอก่อนดีกว่า แล้วมันตกไปตรงไหนล่ะ จะหาเจอไหมเนี้ย ฉันหามันทั้วทั้งห้องแล้วนะ มันหายไปได้ยังไงกัน แต่เดี๋ยวก่อน ... ฉันว่าห้องนี้มันดูแปลกไปนะ ห้องดูสะอาดขึ้นผิดหูผิดตา เหมือนมีคนมาทำความสอาดใหม่ๆเลย

ไม่นะ! ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ

ถ้ามีคนมาทำความสอาดห้อง แสดงว่าก็ต้องมีคนก่อนหน้าเรามาปัดกวาดทุกซอกทุกมุมแล้วล่ะซิ แล้วถ้าเค้าเห็นหนังสือล่ะละ..แล้วถ้าเค้าคิดว่ามันเป็นหนังสือที่ไม่ใช้แล้วล่ะ ละ..แล้วถ้าเค้าทิ้งไปแล้วละ ฉันจะทำยังไง ทำไงดี คิดเร็วสิ อริส ถ้าเป็นเรา เราเห็นหนังสือแล้วจะทิ้งมั้ย! ถ้าเป็นเราไม่มีทางซะหรอกใครจะโง่ทิ้งหนังสือได้ ไม่มีใครเขาทิ้งหนังสือกันหรอก เรานี้คิดมากไปเองต่างหาก

“อริส ลูกเข้ามาทำอะไรในห้องทำงานแม่เนี้ย ก้มๆเงยๆกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่าลูก ”

“ อุ๊ย !....เปล่าค่ะแม่ แล้วแม่จะเข้ามาทำงานหรอคะ อืมมมม.... แม่คะ แม่ว่าถ้าแม่เจอหนังสือเล่มหนึ่งแล้วแม่จะทิ้งมันหรือเปล่าคะ”

“ จะทิ้งไปทำไมล่ะลูกหนังสือน่ะมีไว้อ่านไม่ใช่หรอ แม่ก็คงต้องรีบหยิบมันมาเปิดอ่านเลยล่ะ ”

“จริงหรอคะแม่ ดีจังเลยนะคะ แล้วแม่เป็นคนทำความสอาดห้องนี้ใช้ไหมคะ แล้วตอนแม่ทำความสอาดห้องนี้แม่เห็นหนังสืออะไรตกอยู่บนพื้นบ้างไหมค่ะ”

“เห็นซิจ๊ะ แม่เห็นหนังสืออะไรไม่รู้อยู่ใต้โต๊ะทำงานแม่เลยหยิบมันมาดู พอดีแม่เห็นมันเปิดไม่ออก แม่ก็เลยเอามันไปเก็บไว้ในห้องเก็บของหลายวันแล้วน่ะลูก ” แม่ยังไม่ทันพูดจบแต่ฉันรอไม่ไหวแล้วเลยรีบถามแม่ทันที

“ตอนนี้มันอยู่ไหนคะแม่ เอามันมาให้หนูดูหน่อยซิคะ”

“ ทิ้งไปแล้วจ๊ะ” น้ำเสียงที่หวานซาบซ้านนั้นมันช่างบาดใจลูกน้อยคนนี้ซะจริงๆ

“ แล้วแม่เอามันไปทิ้งทำไมล่ะคะ มันเป็นหนังสือไม่ใช่หรอ ”

“ ใช่จ๊ะ มันเป็นหนังสือ และก็เป็นหนังสือที่เก่ามากด้วย แถบมันก็ยังเปิดไม่ออกแม่ก็เลยเอามันไปทิ้งเรียบร้อยแล้ว ก็ในเมื่อเก็บไว้แล้วใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็ทิ้งไปดีกว่า จะได้ไม่รกชั้นวางหนังสืออีก แค่ตอนนี้หนังสือเก่าๆของคุณปู่ก็เยอะจนแม่วางหนังสือแม่บ้างไม่ได้แล้ว ”

ใจดวงน้อยๆดวงนี้แถบสลาย แม่สุดที่รักทิ้งหนังสือเล่มนั้นไปแล้ว แม่ทำอย่างนี้แล้วหนูจะทำยังไงต่อไปล่ะทีนี้ ฉันจะทำยังไงได้ล่ะก็คงต้องออกตามหาหนังสือนั้นแล้วล่ะ ก็ไม่รู้ว่าแม่เอามันไปทิ้งที่ไหน

ฉันกับลุงฮีมิสส์ช่วยกันออกตามหาหนังสือเล่มนั้น คงไม่ต้องเล่านะคะว่า พอบอกว่าหนังสือนั้นฉันทำมันตกแล้วแม่ก็ได้ทิ้งมันไปแล้วคุณลุงฮิมิสส์จะทำหน้ายังไง คิดดูนะคะว่าหน้าโหดๆเหมือนอย่างกับยักษาอย่างลุงฮีมิสส์เวลาโกรธขึ้นมา จะน่าขนพองสยองเกล้าขนาดไหน แต่ฉันก็อาสาจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองลุงฮีมิสส์ก็มีสีหน้าที่พอจะทำให้เราหายสยองแต่กลับมาสยิวแทนยังไงไม่รู้ แล้วเราก็ต้องช่วยกันออกตามหามันจนแล้วก็ผ่านมาหลายวันจนต่างคนต่างท้อ เราออกหาทั้งในสวน และในป่า แต่เราก็ยังหาไม่เจอแม้แต่วี้แววใดๆทั้งสิ้น ฉันกลับลุงฮีมิสส์เลยเริ่มตัดใจ

คุณปู่คะ หนูขอโทษนะค่ะที่ไม่สามารถช่วยคุณปู่ได้ ฉันไปที่รูปปั้นของแซร์ร่า ฉันหวังว่าแซร์ร่าน่าจะช่วยส่งคำขอของฉันไปสู่คุณปู่ได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่หรือเสียไปแล้วก็ตาม ส่วนลุงฮีมิสส์ก็เริ่มที่จะท้อในการจะค้นหาแล้วเหมือนกัน แต่ลุงก็ไม่ถอย ทุกครั้งที่ลุงว่างจากการทำงานฉันเห็นลุงฮีมิสส์มักจะชอบหลบเขาไปในป่า ฉันคิดว่าลุงฮีมิสส์น่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ที่ยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังอีกแน่ๆ วันหนึ่งฉันนั้นก็เห็นลุงฮีมิสส์เดินเข้าไปในป่าอีกครั้ง ฉันเลยเดินตามเข้าไป แต่สิ่งที่ฉันเห็นก็คือ ลุงฮีมิสส์แอบมาหาหนังสือตำรานั้นเพียงคนเดียวเพราะเหตุผลที่ว่า อยากจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณปู่อดัม อยากจะทำให้สำเร็จไม่ว่าคุณปู่ท่านจะมีชีวิตอยู่หรือเสียไปแล้วก็ตาม ฉันเลยไม่ย้อท้อ ช่วยหาหนังสือเล่มนั้นต่อทันที เรามักจะแอบออกมาหามันบ่อยๆ จนเวลาผ่านไปหลายเดือน เราก็ยังหามันไม่เจอ โดยเฉพาะช่วงนี้เราจะออกมาบ่อยไม่ค่อยได้เพราะอีกไม่กี่วันก็เป็นวันคริสต์มาส ลุงฮีมิสส์ก็ต้องยุงอยู่แต่กับการเตรียมอาหารที่ต้องทำเลี้ยงแขกที่จะมาในวันงาน ส่วนตัวฉันเองก็ต้องยุ่งอยู่กับการตกแต่งบ้านกับพ่อแม่ จนเราไม่มีเวลาที่จะออกไปหามันได้เลย

และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ซึ่งฉันมีความสุขมาก วันนี้มีญาติพี่น้องเรารวมกันที่บ้านหลังนี้เช่นทุกปี ถึงแม้จะมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการหาทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่สัญญาไว้กับคุณปู่ แต่ก็อย่างว่าล่ะนะฉันยังเด็กอยู่เลย แล้วฉันคิดว่าวันนี้ฉันต้องได้ของขวัญจากซานต้าแน่ๆ ก็ฉันอุตสาห์ทำตัวเป็นเด็กดีมากๆแล้วนี้หน่า ตอนนี้ทุกคนเริ่มทยอยเข้ามาในงาน ฉันเข้าไปทักทายญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายคุณพ่อและฝ่ายคุณแม่ วันนี้ถือเป็นวันรวมญาติวันหนึ่งเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณปู่ยังอยู่กับเรา ฉันและครอบครัว และญาติพี่น้องทุกคน ก็มารวมตัวกันที่นี้อยู่แล้ว จึงไม่หน้าแปลกที่วันนี้จะมีคนมาเยอะขนาดนี้ งานก็ดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ช่วงเวลาที่ฉันและพี่ๆน้องๆเด็กวัยเดียวกันกับฉันรอคอยก็มาถึงบ้านเราจะเปิดกล่องของขวัญก่อนเข้านอนเพราะแม่บอกว่า ของขวัญทุกชิ้นเป็นของขวัญที่ซานต้าเอามาให้แก่เด็กดีที่ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่และต้องเป็นเด็กดีที่รักษาสัญญา ถ้าเด็กคนไหนทำไม่ดีหรือดื้อกับพ่อแม่ซานต้าก็จะไม่ให้ของขวัญในวันนี้และจะเอาชื่อเราไปใส่ในสมุดเด็กดื้อ การที่เราเปิดของขวัญก่อนนอนจะทำให้ของขวัญที่ซานต้าให้นั้นเป็นดังที่ใจเราต้องการและซานต้าก็จะลงมาหาแล้วแสกให้ของขวัญนั้นมีชีวิต แต่ถึงฉันจะเป็นเด็กฉันก็ไม่เชื่อว่าของเล่นจะมีชีวิตขึ้นมาได้หรอกนะ

กล่องของขวัญของฉันตั้งอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสมันอยู่ลึกมาก แต่มันทำให้ฉันยิ่งอยากได้มันมากเช่นกัน ขนาดของกล่องดูมันใหญ่มากสำหรับฉัน เปิดแล้วนะ....

ตุ๊กตาแมว ! ในกล่องใบใหญ่มีตุ๊กตาแมว นอนอยู่ในกล่อง มันน่ารักมาก ฉันชอบมันมากเลย ซานต้ารู้ใจฉันอีกแล้วนั้นก็เหมือนกับทุกๆปีที่ถูกใจฉันแต่ปีนี้มันถูกใจฉันมาก ดูมันสิ น่ารักมาก ตัวมันมีสีน้ำตาลอ่อนๆ อุ้งมือและเท้าเป็นสีขาว ที่สำคัญตาของมันปรือด้วย ตามันกึ่งหลับกึ่งตื่นดูแล้วเหมือนมันอยากหลับอยู่ตลอดเวลาเลย ดูหน้าตามันทั้งน่ารักทั้งตลกยังไงไม่รู้ซิ

“ ไงนางฟ้าน้อยของพ่อ ชอบของขวัญที่ซานต้าให้มั้ยลูก ”

“ ชอบมากเลยคะพ่อ ไม่เสียแรงที่หนูสู้เป็นเด็กดีมาตลอด ”

“ แม่ว่าเด็กดีก็ต้องคู่กับของขวัญดีๆจริงมั้ย แต่ตอนนี้ดึกมากแล้วนางฟ้าตัวน้อยพาเจ้าแมวตาปรือไปนอนได้แล้วนะ ”

ฉันจะพาเจ้าไปนอนนะเจ้าแมวตาปรือ เจ้าจะได้หลับซักทีดูเจ้าง่วงๆ อยู่แล้วนี้ ก่อนเดินขึ้นห้องฉันได้ลาญาติพี่น้องและป้าๆอาๆทุกคนก่อนไปนอน จากนั้นฉันก็เดินขึ้นห้องนอนทันทีพร้อมกับแม่

“ หลับฝันดีนะลูก แม่หวังว่าคืนนี้ซานต้าจะมาหาลูกนะ ”

“ ฝันดีคะแม่ ” แม่ปิดไฟแล้วเดินออกไปจากห้องฉัน ฉันก็หวังนิดหน่อยนะว่าคืนนี้ซานต้าจะมาหาเพื่อเจ้าแมวตาปรือจะมีชีวิตขึ้นจริง

ฉันหาวยาวมากเพราะตอนนี้เริ่มง่วงจริงๆแล้วซินี้ เจ้าแมวน้อยเจ้านอนข้างๆฉันนะ แล้วถ้าซานต้ามาหาคืนนี้ปลุกฉันด้วยนะ ฉันนอนก่อนล่ะ ฝันดีนะเจ้าแมวตาปรือ

......... . ฉันรู้สึกว่าฉันหลับได้ซักพักก็ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น

“ อริส .. อริส ... หลับแล้วหรอ ตื่นได้แล้ว อริส !!!! ”

“ คะแม่..แม่เรียกหนูมีอะไรคะ กำลังหลับสบายเลย แล้วทำไมแม่พอกหน้าสีน้ำตาลคะ ยังไม่นอนหรอคะแม่ ”

“ อริส นี้ฉันเอง ฉันเรียกเธอนานแล้วนะ เห็นมั้ยไม่ทันแล้วซานต้าจะไปแล้วนะ เธอตื่นขึ้นมาซักทีซิเดี๋ยวไม่ทัน ”

“ ใครจะไปแล้วหรอคะแม่ ”

“ ซานต้าจะไปแล้ว นั้นไงเขาไปแล้ว รอหน่อยซิท่านอย่าเพิ่งไป ” อะไรนะ!!!! ซานต้ามาหาฉันจริงๆหรอ ไหนซานต้า ไหนๆ ฉันกระโดดขึ้นออกมาจากเตียงแล้วมองไปที่หน้าต่าง

ว้าวววว...

จะ...จริงด้วย นั้น! ซานต้าตัวเป็นๆ เขามาหาเราจริงๆ ด้วย

“ ทำไมแม่ไม่เรียกหนูให้เร็วกว่านี้ล่ะคะ ........” มะ...แม่ ! แม่ ! แม่หายไปไหนแล้วล่ะ ?? แล้วนั้นเงาตัวอะไรนะอยู่หลังผ้าม่าน มีเงาประหลาดซ่อนอยู่หลังผ้าม่านฉันเดินไปแล้วก็เปิดมันออก

โถ่เอ้ย...นึกว่าอะไรเจ้าตุ๊กตาแมวตาปรือนี้เอง แล้วทำไมลงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ แล้วไม่เห็นว่าซานต้าจะมาทำให้ตุ๊กตาเป็นมีชีวิตได้เลย
“ อ้าว...แล้วนี้ฉันยังไม่มีชีวิตอีกหรอเนี้ย ” ตุ๊กตาแมวพูดขึ้นมา

“ ก็ใช้นะซิ .............” ฉันตอบไปอย่างไร่สติแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นเจ้าตุ๊กตาแมวพูดได้จริงๆ

“ เจ้าพูดได้ด้วยหรอ” เอาแล้วไงผีหลอกฉันเขาแล้ว จะบ้าหรอไงตุ๊กตาที่ไหนพูดได้ หรือมันเป็นตุ๊กตาผีสิง เจ้าตุ๊กตาแมวเดิมเข้ามาหาฉัน ไม่นะมันเดินเข้ามาไกล้ฉันแล้ว อย่านะ อย่าเข้ามา

“ จะกลัวฉันทำไม อริส ก็เธอขอให้ซานต้ามาชุบชีวิตฉันเองไม่ใช่หรอ ” ฉันมองไปที่เจ้าตุ๊กตาแมว อะไรกันเรื่องนี้มีจริงด้วยหรอ ซานต้าที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้นั้นที่มาหาฉัน มาเพื่อเสกเจ้าแมวตาปรือให้มีชีวิตขึ้นมาจริงหรอ แล้วถ้านี้คือเรื่องจริงฉันจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะนี้

“ ซานต้าเสกฉันให้มาช่วยเธอ หาตำราชุบชีวิต ” เอ๋...รู้เรื่อง ตำราชุบชีวิตด้วยหรอ

“ เจ้าแมวตาปรือนายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไง ”

“ ก็พึงบอกไปว่าซานต้าบอกให้ฉันมาช่วยเธอไง เธอคงคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆนะ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แค่หาเจอก็จบแต่เธอยังต้องเอาชนะเจ้าแห่งความฝันที่ชั่วร้ายให้ได้ด้วย เพื่อรักษาโรคแห่งความฝันของทุกคนเอาไว้ ”

“ ฉันเข้าใจแล้ว ถึงแม้มันจะยังงงอยู่นิดๆ แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้กับเจ้าแห่งความฝันได้ล่ะแล้วต้องทำยังไงบ้าง อีกอย่างฉันเองก็ไม่ใช่เด็กที่มีความกล้ามากมายอะไรเลยนะ ”

“ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเธอเอง แต่ตอนนี้เรื่องแรกที่ต้องทำคือไปหาตำรามาให้เจอก่อน และฉันรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ”

“ อย่างนั้นก็พาฉันไปเอามันมาเลยเร็วซิ ”

“ อริส เธอต้องไปคนเดียวฉันไปกับเธอไม่ได้นี้มันจะเช้าแล้ว ฉันจะมีชีวิตเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น อย่าลืมซิยังไงฉันก็เป็นแค่ตุ๊กตานะ ถ้าแม่เธอเห็นฉันเดินได้พูดได้เขาคงช๊อคตายแน่ ฉันจะบอกให้ว่ามันอยู่ที่ไหน ส่วนคืนนี้เธอก็นอนพักซะ พรุ่งนี้เช้าก็ค่อยหามันตกลงนะ แล้วเจอกันคืนพรุ่งนี้นะ ”

หลังจากที่เจ้าแมวตาปรือบอกที่อยู่ของหนังสือเล่มนั้นฉันก็ตกใจตื่นขึ้นมาทันที เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันอีกแล้วหรอแต่ฝันครั้งนี้ทำไมมันดูเหมือนจริงจังล่ะ แต่ว่าไปแล้วตุ๊กตาที่ไหนจะมีชีวิตจริงขึ้นมาได้ ฉันหยิบเจ้าตุ๊กตาแมวขึ้นมาก็ดูมันปรกติดีนี้ มันยังคงทำตาปรือๆอยู่เลย

วันนี้ฉันก็ออกเดินหาตำราเล่มนั้นอีกครั้ง ระหว่างที่เดินฉันก็นึกถึงคำที่เจ้าแมวตาปรือบอกว่าตำราอยู่ใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่ต้นหนึ่งข้างน้ำตกในป่า ฉันจะลองเชื่อความฝันที่ดูเหมือนจริงนั้นซักครั้ง แต่พอฉันเดินมาถึง ฉันก็ต้องตกใจ เพราะตำราอยู่ที่นี้จริงๆ หรือว่าสิ่งที่ฉันเห็นทั้งหมดเมื่อคืนคือความจริง

“ ลุงฮีมิสส์คะ หนูพบตำราแล้วคะ ” ฉันวิ่งไปหาลุงฮีมิสส์ทันทีที่ได้มันมา

“ เอามาดูซิว่าใช่มันหรือเปล่า ” ลุงฮีมิสส์ถือหนังสือตำราเล่มนั้นไว้แน่น ดูเหมือนลุงจะดีใจมาก

“ ลุงเอากุญแจมาลองเปิดมันดูซิคะ ”

ลุงฮีมิสส์เอาลูกกุญแจที่แขวนไว้ที่คอออกมา ลุงกำมันไว้แน่นแล้วเสียบมันลงไปในหนังสือเล่มนั้น หนังสือเปิดออกเองโดยอัตโนมัติเป็นที่มหัศจรรย์มาก เมื่อหนังสือเปิดออกก็มีแสงสีเขียวส่องสว่างออกมาภายในหนังสือมีตัวอักษรมากมายเขียนไว้สลับกับรูปภาพอะไรบางอย่าง

“ นี้คือขั้นตอนการทำยาชุบชีวิต ตอนแรกลุงกับคุณท่านอดัมช่วยกันค้นหาตัวยานี้ขึ้นมาเพื่อจะช่วยคุณท่านอดัมเอง ตอนนั้นคุณท่านป่วยมากสามารถอยู่ได้อีกแค่ 5 ปี ท่านเป็นโรคที่รักษาไม่หายรอเพียงวันตายอย่างเดียว แต่ท่านยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อท่านไม่สารมารถหนีจากความตายได้ท่านเลยยอมตาย แล้วทำยาชุบชีวิตเพื่อจะฟี้นขึ้นมาใหม่ แต่จุดประสงค์ในตอนนี้ เราต้องทำมันขึ้นมาเพื่อชุบชีวิตแซร์ร่าแทน มันเป็นคำสั่งสุดท้ายของท่าน คุณหนูจะช่วยลุงไหมครับ ”

“ คะ หนูจะช่วยลุงเอง ”

ภายในตำราเล่นนี้มันบอกส่วนผสมทุกอย่างของการทำยาชุบชีวิตไว้ทั้งหมด 5 ชนิด

1. อิคนยูม็อน (Ichneumon) สัตว์ชนิดหนึ่งตระกูลพังพอน
2. ด๊อกวูท (Dogwoot) ไม้ชนิดหนึ่ง ดอกมีสีเขียวขาว
3. แจคกัล (Jackal) หมาซึ่งเป็นลูกน้อยของเสือ
4. น้ำจากแม่น้ำแห่งราชานาค
และ 5. เซนเดอร์โรส์น (Zenderrosn)………

ซึ่งส่วนผสมเกือบทุกอย่างคุณปู่ได้มีการผสมไว้เรียบร้อยแล้วขาดเพียงก็แต่อย่างสุดท้ายคือ เซนเดอร์โรส์น ซึ่งมีข้อความบางส่วนมันหายไปทำให้เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เซนเดอร์โรส์นมันมีหน้าตาอย่างไร เรารู้เพียงแต่ว่ามันก็คือดอกไม้ คุณปู่จึงลองเอาดอกไม้ทุกชนิดบนโลกมาลอง แต่ก็ไม่สำเร็จ ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้ว่าจะหามันได้ที่ไหน

“ ลุงฮีมิสส์คะ หนูจะรับผิดชอบไปหา เซนเดอร์โรส์น มาเองคะ ”

My Dream Miracle ตอนที่ 2 ปริศนารูปปั้นหิน

บันทึกที่ 2
ปริศนารูปปั้นหิน

“ แฮ่ก.ๆ ๆ ๆ...นี้ก็เย็นมากแล้ว เราเดินกันมาตั้งแต่เช้าแล้วนะครับนายท่าน แล้วที่สำคัญเราเดินกันมาไกลมากแล้วนะครับ ผมว่าตอนนี้เรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกมาใหม่พรุ่งนี้ดีกว่าไหมครับ ...ท่านอดัม ” ฮีมิสส์พูดกับอดัมด้วยความเป็นห่วง

“ ฮีมิสส์! นายก็รู้ว่าเรามีเวลาไม่มากนัก เราต้องหามันให้เจอ เราสู้ค้นหาและเก็บส่วนผสมทุกอย่างจนครบขาดเพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้นทุกอย่างก็เสร็จสมบูรณ์ อย่าบ่นให้มากนักเลย นายเอาแต่บ่นอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่เราจะหาเจอล่ะ เอ้า !อย่ามัวแต่บ่น เรามาช่วยกันหามันดีกว่า” อดัมหัวเราะแล้วหันไปหาสิ่งนั้นทันที

“ นายท่านคิดจริงๆหรือครับว่ามันมีจริง ถึงแม้มีจริงแล้วพอเราหามันเจอ มันจะได้ผลจริงๆ เราใช้เวลาในการหามันมาหลายปีแล้วนะครับ ” ฮีมิสส์หันมาพูดกับอดัมด้วยสีหน้ากังวลมาก

“ แน่นอน มันต้องได้ผลซิ ! ฉันใช้ทั้งชีวิตเพื่อค้นหามัน มันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันมีชีวิตต่อไปได้ อย่าท้อสิฮีมิสส์ ตอนนี้เราขาดเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นนะฮีมิสส์”

“ ครับนายท่าน ผมจะสู้เพื่อนายท่าน ไงเราก็สู้กันมาจนขั้นสุดท้ายล่ะ หากันต่อเถอะครับ ” ฮีมิสส์เอามืดออกมาทำสัญลักษณ์ไว้ตลอดทางที่เดินมา ฮีมิสส์ทำเพื่อจะได้เป็นเครื่องชี้ทางเพื่อไม่ให้หลงป่า

เปรี้ยง !!!!! แปะ... แปะ... แปะ.... ซ่า....................

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพร้อมสายฝนที่ตกลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว ลมพายุโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างหนัก ต้นไม้ใบหญ้าในป่าโอนเอนไปมาดูหน้ากลัว ตอนนี้ท้องฟ้าดูมืดคลึ่มดำสนิทยิ่งทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูน่าขนลุกอย่างหน้าแปลกใจ

“ ฝนตก ! ตกได้ยังไงกัน ก่อนออกมาก็ตรวจสภาพอากาศแล้วนี้ วันนี้ไม่น่าจะมีฝนตกได้นะ” อดัมพูดด้วยสีหน้าที่แปลกใจมาก เพราะช่วงนี้เป็นฤดูร้อน และเขาก็ได้ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนเข้าป่าทุกครั้ง มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่อดัมจะแสดงสีหน้าประหลาดใจได้มากเช่นนั้น

“ ถ้ำครับคุณท่าน นั้น! อยู่หลังน้ำตกเราเข้าไปหลบฝนกันก่อนดีกว่าครับ”

ทั้งสองวิ่งผ่านสายฝนเข้าไปในถ้ำเล็กๆที่อยู่ด้านหลังน้ำตกทั้นที ภายในนั้นอากาศเย็นเฉียบ อากาศอับชื้น แต่กลับมีกลิ่นหอมพัดมาเป็นระยะๆ

“ ฝนดูท่าแล้วน่าจะหยุดยากนะครับนายท่าน ถ้ำนี้น่าจะเป็นที่พักให้เราได้จนถึงเช้านะครับ ” ฮีมิสส์มองหน้าเจ้านายของตนด้วยความเป็นห่วง จากนั้นเขาเริ่มมองไปรอบๆบริเวณถ้ำใต้น้ำตก กลิ่นหอมนั้นได้ลอยมาอีกเป็นระรอบทำให้ทั้งสองสอดสายตาไปทางที่กลิ่นนั้นพัดมา อดัมสังเกตุเห็นแสงไฟส่องประกายสว่างออกมาจากช่องเล็กๆ ในถ้ำแห่งนี้ ทั้งสองเดินเข้าไปไกล้ๆ ก็ต้องตกใจในสิ่งที่เห็น

“ ฮะ.... ฮี....ฮีมิสส์ นั้น ! เห็นอย่างที่ฉันเห็นไหม ”

“ หะ..เห็น ครับนายท่าน ดูมันซิครับมันสวยงามมากเลยครับ”

ภาพที่ปรากฎต่อหน้าของคนทั้ง 2นั้น คือ ม้ายูนิคอร์นสีขาวตัวใหญ่ มีดวงตาดำสนิท กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้นถ้ำ ขนสีขาวด้านบนตัวของยูนิคอร์นเมื่อส่องประกายออกมาจะกระทบกับละอองน้ำในถ้ำทำให้เมื่อเกิดการหักเหของแสงเกิดเป็นละอองสายรุ้งฟุ่งกระจายล้อมรอบตัวของมัน

“ ดูมันซิฮีมิสส์ ตัวมันใหญ่มาก ฉันไม่เคยเห็นสัตว์อะไรที่สวยขนาดนี้มาก่อน” อดัมเขยิบเข้ามาไกล้ๆมัน

“ นี้มันยูนิคอร์นนี้ฮีมิสส์! ตามตำนานมันเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ลงไปในยุคสมัยของโนอาร์แล้วไม่ใช่หรอ ” อดัมเดินเข้าไปยืนข้างๆ ยูนิคอร์นตัวนั้นอย่างสนอกสนใจมาก เจ้าม้ายูนิคอร์นคงเกิดอาการตกใจ มันพยายามลุกขึ้น แต่.. อดัมก็ได้สังเกตเห็นว่าเจ้ายูนิคอร์นตัวนี้มันมีเลือดไหลออกมาอย่างมาก มันกำลังเจ็บปวด ! เลือดของมันมีสีเขียวมรกตไหลออกมาไม่ยอมหยุด นอกจากนั้นเขายังสังเกตเห็นว่าเขาของยูนิคอร์นที่อยู่บนหัวตรงกลางหน้าผากนั้นเริ่มกลายเป็นสีแดงกล่ำ เหมือนเลือดคน

“ เจ้านาย !!! ดูนี้ซิครับ มันมีลูกด้วยครับ ” ฮีมิสส์ชี้ให้อดัมดูหลังก้อนหินที่เจ้ายูนิคอร์นน้อยหลบอยู่

“ ไหนดูซิ ! กลิ่นหอมที่เราได้กลิ่นมาจากเจ้าตัวเล็กนี้ซินะ แม่มันเลือดไหลออกมามากกขณะคลอดเจ้าตัวเล็กนี้แน่ๆ ” ฮีมิสส์อุ้มมันขึ้น อดัมรีบมองไปในอ้อมแขนของฮีมิสส์ทันที เขาก็เห็นลูกยูนิคอร์นตัวหนึ่งนอนหลับปุ๋ยอยู่ ใช่!.มันปลอดภัย แถบดูมันแข็งแรงมากด้วย มันมีลำตัวสีขาวสะอาด ตาสีฟ้าใส ปีกของเจ้ายูนิคอร์นน้อยนั้นแปล่งประกายเจิดจ้า เหมือนกับเขาที่หัวของมันเปล่งประกายเป็นสีชมพูอ่อนๆระยิบระยับเหมือนมีเพรชประดับอยู่โดยรอบเช่นกัน

“ เราต้องช่วยแม่มันก่อนนะฮีมิสส์ ในกระเป๋ามีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ หยิบมันออกมาให้ฉันห้ามเลือดมันก่อนเร็ว ”

ทั้ง 2 ได้พยายามช่วยชีวิตแม่ของยูนิคอร์นน้อยไว้อย่างเต็มที่ แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง หนึ่งชีวิตเกิดใหม่ แต่ทำให้อีกหนึ่งชีวิตต้องจากโลกนี้ไป เมื่อเขาที่อยู่บนหัวของแม่ยูนิคอร์นน้อยเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีดำ มันก็ได้เสียชีวิตร่างกายของมันก็กลับกลายเป็นรูปปั้นหินโดยทันที ตามตำนานของยูนิคอร์น ยูนิคอร์นสามารถตั้งท้องนานถึงเป็นเวลา9ปี แล้วจึงคลอดลูกออกมา เมื่อใดที่คลอดลูกยูนิคอร์นตัวแม่จะต้องเสียชีวิตไป จะต้องกลายเป็นรูปปั้นหินไปในที่สุด

“ นายท่าน !!! เจ้ายูนิคอร์นน้อยเริ่มมีอาการแปลกๆครับ ตัวมันสั่นมากเลยครับ แถมมันยังเอาแต่วิ่งไปที่หินเอาเขาบนหัวมันทิ่มไปที่รูปปั้นหินแม่ของมันใหญ่เลยครับ เหมือนมันกำลังปลุกให้แม่มันมีชีวิตต่อไปนะครับ ”

“ ก็คงเป็นสัญชาตญาณของความผูกผันของแม่กับลูก แม่มันตายมันคงเสียใจมาก ฮีมิสส์! ฉันว่าจะเอามันไปเลี้ยง นายว่าดีไหม ”

“ เป็นความคิดที่ดีครับนายท่าน ” ฮีมิสส์มองไปที่เจ้าลูกยูนิคอร์นน้อยเขาของมันเริ่มเปลี่ยนสี “ นายท่าน ! สังเกตที่เขาของมันซิครับ ดูมันหมองๆ นะครับ ”

“ ฉันว่าไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ฮีมิสส์ออกไปดูซิว่าตอนนี้ฝนหยุดแล้วหรือยัง เราต้องรีบกลับบ้านกันแล้วล่ะ ”

ฮีมิสส์วิ่งไปหน้าปากถ้ำทันทีหลังได้รับคำสั่ง ฝนหยุดตกแล้วแต่ตอนนี้ดึกมากมากซะจนไม่สามารถมองเห็นทางได้เลย
“ นายท่านครับฝนหยุดตกแล้วครับ แต่เราคงต้องพักที่นี้ซักคืนแล้วพรุ่งนี้เช้าเราค่อยเดินทางกลับบ้านดีกว่าครับ เพราะนี้ก็มืดจนมองไม่เห็นแล้ว”

“ ฮิมิสส์แล้วเจ้ายูนิคอร์นน้อยตัวนี้ล่ะ ดูมันอาการไม่ค่อยดีเลยฉันกลัวว่าเราจะช่วยมันไม่ได้อีก เหมือนแม่ของมัน เอาเถอะ ... ฉันได้แต่ขออย่าให้มันเป็นอะไรไปเลยนะ” อดัมสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยคุ้มครองเพื่อไม่ให้เจ้ายูนิคอร์นน้อยเป็นอะไรไป

ถึงแม้จะไม่ได้กลับบ้านในคืนนี้ แต่ทั้ง 2 ก็ไม่ได้นอนเลยแต่อย่างใด ต่างช่วยกันดูแลเจ้ายูนิคอร์นตัวน้อยอย่างประคบประหนม เพราะกลัวว่ามันจะทำลายตัวเองอีก อดัมนั้งกอดยูนิคอร์นน้อยแล้วคอยสังเกตอาการของมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้อดัมเริ่มรู้สึกรักและผูกพันกับเจ้ายูนิคอร์นน้อยตัวนี้มาก

……รุ่งเช้า…….

ท้องฟ้าสดใสสายรุ้งทอดยาวมาหน้าปากถ้ำ แสงแดดอ่อนๆส่องสว่างเข้ามาในตัวถ้ำอย่างช้าๆ

“ ฮ้าววว....เช้าแล้ว เราเริ่มมองเห็นทางเดินแล้ว ฮีมิสส์เราออกเดินทางกลับบ้านกันเลยดีกว่า ดูซิเจ้ายูนิคอร์นน้อยยังหลับปุ๋ยอยู่เลย ”

ทั้ง 2 พายูนิคอร์นน้อยเดินออกจากถ้ำโดยทันที พวกเขาได้เดินกลับไปตามทางที่ฮีมิสส์ได้ทำสัญลักษ์เอาไว้ การออกป่าในครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทั้งสิ่งที่ต้องทำ และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งสองได้แต่เงียบแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินไปให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด

ไม่ช้า พวกเขาก็เดินมาถึงบ้านในที่สุด เวลาผ่านมาแค่คืนเดียวกับช่วงเวลาที่ไม่นานมากนัก เจ้ายูนิคอร์นน้อยได้ตัวโตและใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ ฮีมิสส์ว่าเราจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีล่ะ ”

“ ชื่อ.... พอลร่าไงครับเจ้านาย เพราะมันเป็นตัวเมีย ชื่อก็ต้องให้ดูเป็นตัวเมียหน่อยว่าดีไหมครับ ”

“ พอลร่า เหรอ... ฉันว่ามันก็ดีนะ ” อดัมมองไปที่ยูนิคอร์นน้อย เอามือลูบไปที่ลำตัวของมัน

“ ว่าไง ยูนิคอร์นน้อยชอบไหม ฉันจะเรียกเจ้าว่า พอลร่านะ ” เจ้ายูนิคอร์นน้อยทำท่าทางเหมือนไม่ชอบชื่อนี้เอาซะเลย มันสายหน้าไปมาเหมือนฟังอดัมรู้เรื่อง

“ มันคงไม่ชอบชื่อนี้นะฮีมิสส์ เอาคิดใหม่ซิ! ”

“ งั้น เอาชื่อว่า แซร์ร่ามูนมั้ยครับ ผมว่าลำตัวมันมีแสงส่องประกายอยู่ตลอดเวลาเหมือนดวงจันทร์นะครับ ดีมั้ย? ”

“ ฉันว่าชื่อนี้ก็ดีนะ แต่...มันยาวไปมั้ย? เอางี้ล่ะกัน เราเรียกมันว่าแซร์ร่าเฉยๆดีกว่านะ ชอบมั้ยแซร์ร่า ”

“ ดูเหมือนมันจะชอบชื่อนี้นะ ดูมันซิกางปีกกระพือใหญ่เลย ” เจ้าแซร์ร่าท่าทางดีใจกับชื่อใหม่นี้ มันกระโดดไปมา ดูเหมือนว่ามันจะลืมเรื่องแม่มันไปแล้วแน่ๆ เพราะตอนนี้เหมือนว่ามันจะคิดว่าอดัมเป็นแม่ของมันไปซะแล้ว

ตั้งแต่เจ้าแซร์ร่ายูนิคอร์นตัวน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ อดัมดูจะมีความสุขมากเข้าทิ้งการทุกอย่างวันๆเอาแต่เล่นและดูแลเจ้าแซร์ร่าซึ่งเจ้าแซร์ร่าเองก็โตขึ้นทุกวัน จน...กระทั้งวันหนึ่ง

“ นายท่านครับ.... อยู่ไหนครับ? นายท่าน... ” ฮีมิสส์ออกตามหาอดัมทุกซอกทุกมุมของบ้าน ก็ไม่เจอทำให้ฮีมิสส์กังวลมาก
เพร้ง!!! มีเสียงดังมาจากหลังบ้าน

“ ใครน่ะ ? ใครอยู่ตรงนั้น ” ฮีมิสส์ได้ยินเสียงกระถางต้นไม้แตก เขาจึงรีบเดินออกไปดูทันที

“ ชะ..ช่วยด้วย ชะ...ชะ...ช่วย ฉันด้วย ฮีมิสส์ ” ชายที่อยู่ตรงหน้าฮีมิสส์คืออดัม ร่างของเขาสลบอยู่บนพื้น ฮีมิสส์เห็นดังนั้นจึงรีบนำร่างของอดัมเข้าบ้านทันที

“ คุณท่านครับ ! คุณท่าน ! เป็นอะไรไปครับ ” ฮีมิสส์เอายาดมมาให้อดัมเพื่อหวังว่าอดัมคงฟื้นในไม่ช้า

“ อืออออ ....”

“ คุณท่านฟื้นแล้ว! ผมนึกว่าจะต้องเสียท่านไปซะแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ท่านหายไปไหนมาครับ แล้วแซร์ร่าล่ะครับท่าน ”

“ ฮีมิสส์ นายยังจำตำราชุบชีวิตเล่มนั้น ที่เราตั้งใจทำตามทุกขั้นตอนเพื่อสกัดยาชุบชีวิตได้หรือเปล่า ”

“ จำได้ครับท่านอดัม ”

“ มันเป็นตำราที่ฉันตั้งใจจะใช้ในการชุบชีวิตตัวเองเมื่อฉันตาย เพราะฉันมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 5 ปี เราช่วยกันพยายามค้นหาทุกส่วนผสมจากทุกหนทุกแห่ง จนถึงส่วนผสมอย่างสุดท้าย ซึ่งเราสองคนก็ออกตามหามาหลายปีแล้ว ซึ่งตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าส่วนผสมอย่างสุดท้ายอยู่ที่ไหน ฉันจึงออกป่าอีกครั้งเพื่อค้นหามัน ฉันขี่เจ้าแซร์ร่าบินไปในถ้ำแห่งหนึ่งแห่งหนึ่ง มันอยู่หลังเชิงเขาฝังนู้น พอเข้าไปในถ้ำฉันพบหีบใบหนึ่ง ฉันคิดว่า สิ่งนั้นมันต้องอยู่ในหีบนี้แน่ๆ พอฉันเปิดหีบออก ฉันกับแซร์ร่าก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลับไป พอรู้สึกตัวก็ไม่รู้ว่าไปโผล่ที่ไหน ที่นั้นทุกอย่างถูกปรกคลุมไปด้วยหิมะขาวไปหมด ฉันออกเดินต่อไปเรื่อยๆพร้อมกับแซร์ร่า ที่นั้นหนาวมากจนแซร์ร่าไม่สามารถที่จะบินได้ แต่พอเราเดินไปได้ซักพักใหญ่น้ำแข็งนั้นก็ค่อยๆละลาย แล้วก็กลายเป็นพื้นทะเลทรายทันที นายรู้ไหมว่าช่วงเวลาที่ฉันอาศัยอยู่นั้นมันยาวนานเหลือเกิน จนวันหนึ่งฉันกับแซร์ร่าออกเดินหาอาหาร ฉันก็ได้พบกับสิ่งนั้นที่เราเฝ้าค้นหามานานหลายปีมันอยู่ที่นั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เก็บมันมา มีอสุรกายตนหนึ่งมันเข้าโจมตีแซร์ร่าอย่างหนักจนบาดเจ็บมาก ตอนนั้นฉันหันไปเห็นกระจกเก่าบานหนึ่งหวังว่าจะเอามันมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยแซร์ร่าในการต่อสู้กับเจ้าอสูรตนนั้น แต่พอฉันแค่สัมผัสมัน ฉันก็เหมือนถูกดูดเขามาอยู่ในถ้ำหลังเชิงเขาอีกครั้ง ฉันรู้สึกเหนื่อยมากจนฉันหมดแรงสลบลงไปบนพื้นทันที พอรู้สึกตัวขึ้น ฉันก็ไม่เห็นแซร์ร่า มันไม่ได้กลับมาพร้อมกับฉัน ฉันจึงจะกลับไปที่นั้นอีกครั้ง ฉันพยายามไปที่หีบใบนั้นอีกรอบ แต่.. หีบนั้นถูกเปิดออกแล้ว ทำให้ไม่สามารถที่จะกลับไปได้อีก ฉันทำอะไรไม่ถูกจึงเดินกลับมาบ้านหวังว่าจะหาหนทางกลับไปที่นั้นได้อีกครั้งเพื่อช่วยแซร์ร่า เพราะฉันแท้ๆเลยเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องบาดเจ็บ แล้วติดอยู่ที่นั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ”

“ คืนนี้ผมว่าท่านอดัมนอนพักให้เต็มที่ก่อนเถอะครับ แล้วพอท่านอาการดีขึ้นเราค่อยออกตามหาแซร์ร่าก็ยังไม่สายนะครับท่าน ผมว่ามันต้องไม่เป็นอะไรหรอกครับ เชื่อผม ”

“ ขอบใจมากนะฮีมิสส์ นายไปพักผ่อนเถอะไม่ต้องห่วงฉัน ”

คืนนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างราบรื่นดี แต่ขณะที่ฮีมิสส์หลับแต่อดัมไม่หลับเขาเอาแต่คิดหาวิธีที่จะกลับไปช่วยแซร์ร่า คืนนั้นเองเขาก็ตัดสินใจที่จะกลับไปที่นั้นอีก แล้วหนีออกจากบ้านโดยทันที

..... เช้ารุ่งขึ้น .....

ฮีมิสส์เดินเข้ามาในห้องอดัมเพื่อหวังว่าจะมาดูแลในเช้านี้ แต่เขาก็ต้องเสียใจที่ไม่เห็นอดัมอยู่ในห้องแล้ว เขาได้แต่มองไปรอบๆห้อง แล้วคิดจะออกไปตามหาอดัมโดยที่ว่า ไม่ว่าอะไรมาขวางก็ไม่อยู่ เขาตัดสินใจออกไปที่ถ้ำหลังเชิงเขาในป่าที่อดัมเล่าให้ฟังทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นในถ้ำนั้นคือ รูปปั้นหิน !

เมื่อฮีมิสส์เข้าไปไกล้ๆ รูปปั้นหิน สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับกลายเป็น แซร์ร่า ! แต่ฮีมิสส์ก็ไม่พบอดัมแต่อย่างใด มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งที่วางอยู่ตรงหน้า

วันนี้มีนิยาย มาให้อ่าน My Dream Miracle ตอนที่ 1 สวัสดีบ้านใหม่

บันทึกที่ 1
สวัสดีบ้านใหม่

คุณเชื่อเรื่องฝันที่เป็นจริงหรือเปล่า ?

คุณเคยหลับแล้วฝันว่าได้ไปในดินแดนที่มีทุกสิ่งที่คุณต้องการและสิ่งที่เหลือเชื่อมารวมอยู่ด้วยกันหรือไม่ เคยคิดไหมว่าตนเองจะได้เจอกับอสุรกายที่น่ากลัวพร้อมบรรดาสัตว์ที่คุณเกรียดนักหนามารวมกันเป็นกองทัพ หมู่นางฟ้าแห่งจินตนาการ มีเพื่อนซื้เป็นตุ๊กตา และที่สำคัญคุณได้เป็นเจ้าหญิง ซึ่งแน่นอนในความฝันของหญิงสาวทุกคนย่อมอยากมีเจ้าชายที่แสนจะเพรียบพร้อม มาเคียงข้างเป็นแน่แท้

แต่ถ้าเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันไม่ได้เป็นแค่ความฝันล่ะ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในโลกที่ทับซ้อนกับโลกที่เราอาศัยอยู่ เป็นดินแดนที่รอคุณอยู่ รอคุณเพื่อไปช่วยให้พวกเขาเหล่านั้นรอดพ้นจากอะไรบ้างอย่างโดยตัวคุณเป็นคนดำเนินเรื่องราวทั้งหมดตัวละครเกิดจากความรักและความกลัวพร้อมทั้งจิตนาการของคุณเอง คุณเชื่อมั้ย?ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่โลกแห่งความเพ้อฝัน แต่.. เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นกับตัวฉัน

ฉันชื่อว่า อริส เบล์วตั้น ตอนนั้นฉันอายุได้ 11 ขวบ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงยุคสงครามเย็น เกิดเหตุการณ์มากมายในตอนนั้นแต่สำหรับเด็กน้อยตัวเล็กผมดำสนิทอย่างฉัน ฉันคิดแต่เรื่องที่ครอบครัวเรากำลังจะย้ายเข้าบ้านใหม่เท่านั้น

บ้านใหม่ที่เราจะย้ายเข้าไปมาอยู่นั้นเป็นบ้านในชนบท แม็ตต์พ่อของฉันได้บ้านหลังนี้มาจากอดัมคุณปู่ของฉันที่ได้เสียชีวิตไปแล้วแต่เพราะกลัวว่าบ้านจะโทรมรวมถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้พ่อต้องย้ายมาอยู่ที่นี้ แต่ก็ไม่มีใครยอมบอกว่าปู่ได้เสียชีวิตไปเพราะอะไร พวกเขาอ้างว่าฉันยังเด็กไม่ควรรู้เรื่องนี้

“ บ้านใครเนี้ยสวยจังเลย! ” ภาพข้างหน้าฉันตอนนี้เป็นบ้านสองชั้นที่ใหญ่มีอาณาเขตกว้างขวางสวยงามมาก

“ นี้คือบ้านของหลานไงจ๊ะ” มีชายชรามายืนข้างตัวฉันจับมือฉันแน่นเขายิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น สายตาที่อ่อนโยน น้ำเสียงของเขาทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจมาก แต่บ้านหลังที่ฉันเห็นนี้คือบ้านของฉันจริงเหรอ ถ้าจริงก็ดีซินะ

ปี๊นนนนนนน!!!!!!!!! เสียงแตร์รถดังขึ้นพร้อมกับเสียงของพ่อ

“ ตื่นได้แล้วนางฟ้าของพ่อ เรามาถึงแล้ว ”

นี้ฉันหลับบนรถไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คนบนรถทั้งพ่อและแม่ต่างพากันหัวเราะฉัน ฉันค่อยๆเดินลงจากรถเก๋งสีดำ มีบ้านหลังโตตั้งอยู่ด้านหน้า บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นถึงแม้จะปล่อยทิ้งไว้นานแต่สภาพมันยังคงสวยมาก บ้านหลังนี้มีอาณาเขตกว้างขวาง หน้าบ้านมีรูปปั้นนักรบและสาวสวยถูกผันไปด้วยไม้เลื้อยสีม่วงสลับสีเขียวดูสวยงามแกมสกปรก มีสระน้ำเก่าๆอยู่หลังบ้านขอบๆสระเต็มไปด้วยสาหร่ายสีเขียวเกาะเต็มไปหมดในสระยังคงมีน้ำอยู่ก้นสระเล็กน้อย บ้านหลังนี้ไม่มีรั้วล้อมรอบแต่อย่างใด มีเพียงพันธุ์ไม้ที่ถูกดัดและจัดเป็นพุ่มๆ กั้นให้เห็นว่าเป็นอาณาเขตของบ้านเท่านั้น บ้านหลังนี้เหมือนในความฝันของฉันมาก

“ อริส มาช่วยแม่ยกของไปเก็บในห้องทำงานแม่หน่อยซิลูก “ เสียงของเอรอนแม่ของฉันเรียกฉันให้เอากล่องสีดำใบหนึ่งใบใหญ่พอที่ถ้าถือไม่ดีก็สามารถทับเท้าฉันให้เจ็บได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้านในมีหนังสือปกแข็งประมาณ 2-3 เล่มแต่ว่าแต่ละเล่มนั้นหนาประมาณ 5 นิ้วเลยทีเดียวฉันก็หวังว่ามันจะไม่หล่นมาก่อนถึงห้องทำงานแม่หรอกนะ

ในที่สุดฉันก็แบกกล่องนี้มาถึงโต๊ะทำงานแม่จนได้ คงไม่มีใครว่าหรอกนะถ้าฉันจะบ่นกับตัวเองซักหน่อย ห้องนี้เป็นห้องทำงานของแม่ฉัน แม่จำเป็นต้องมีห้องทำงานส่วนตัวเพราะแม่เป็นนักเขียนหนังสือแม่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องนี้ ดูเหมือนห้องนี้ก็น่าจะเป็นห้องทำงานของคุณปู่มาก่อนแน่ๆ ฉันสังเกตุเห็นผ้าสีขาวผืนใหญ่ดูเหมือนว่ามันกำลังคลุมอะไรบางอย่างอยู่เหมือนตู้ แต่มันใหญ่และสูงเกินกว่าจะเป็นตู้ไปได้ ฉันดึงผ้าสีขาวผืนใหญ่ออก ฝุ่นฟุ่งกระจายไปทั่วห้องผ้าโบกสบัดมาคลุมตัวฉันไว้มิด พอฉันมุดออกมาจากผ้าแล้วเงยหน้าขึ้นก็พบกับชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่มหึมามีหนังสือเป็นหลายพันเล่มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบไม่มีฝุ่นเกาะเลยซักนิด

บนชั้นวางหนังสือมีหนังสือเก่าๆอยู่หลายเล่มแต่สภาพมันยังดูดีอยู่เลย คุณปู่คงรักหนังสือของท่านมาก ดูซิว่ามีหนังสือให้เราเอาไปอ่านได้บ้างหรือเปล่า แล้วฉันก็หยิบหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่ามาดู แต่ก็มีแต่หนังสือที่ฉันอ่านไม่เข้าใจเลยซักเล่ม บ้างเล่มก็มีสูตรอะไรไม่รู้น่าปวดหัว ไม่เห็นมีหนังสือตลกหรือนิทานเลยแม้แต่เล่มเดียว

เอ๊ะ! นี้มันหนังสืออะไรเนี้ย ปกสวยมากเลย แต่ดูมันเก่ามากแถมมันต้องใช้กุญแจในการเปิดด้วย แล้วเราจะเอากุญแจจากที่ไหนล่ะ

โคร๊มมมมมม !!!!!! .......

โอ้ยยยย !!.. เจ็บก้นจัง ขาเก้าอี้ดันมาหักอะไรเอาตอนนี้ ยังไม่เห็นว่าเก้าอี้มันจะเก่ามากเลยนะ เราแค่หันซ้ายหันขวานิดเดียวเองแท้ๆ ซี๊ดดด. อยากร้องไห้จังแต่เราดันล้มเองนี้ ไม่มีใครทำเราซักหน่อย ถ้าร้องไห้เดี๋ยวแม่ก็ต้องมา โดนหัวเราะเยาะแย่เลย ฉันได้แต่เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ขำตัวเอง พอรู้สึกตัวว่าดีขึ้นฉันก็มองหาหนังสือเล่มนั้น หวังว่ามันคงจะไม่หล่นไปไหนไกลนะ แต่ในที่สุดฉันก็หามันไม่เจอ ไม่เป็นไรค่อยมาหาใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากไปที่ห้องนอนของฉันเต็มทีแล้วล่ะ และยังมีที่อีกหลายห้องที่รอให้ฉันไปสำรวจในบ้านหลังนี้อีก

ฉันเริ่มออกเดินสำรวจภายในบริเวณบ้านโดยรอบ ก่อนอื่นต้องห้องนอนของฉันก่อน พอมาถึง ก็ต้องร้องว้าวววว.. ก็เพราะว่าห้องนี้ใหญ่อย่างกลับห้องรับแขกเลย แม่ให้คนมาจัดห้องให้เป็นสีชมพูทั่วทั้งห้อง เตียงนี้ก็นุ่มมาก เหมือนได้นอนบนปุยนุ่นเลย ชักเริ่มง่วงแล้วซิ ขอหลับซักตื่นแล้วค่อยไปสำรวจต่อที่อื่นก็ได้ว่ามั้ย? พอหัวถึงหมอนปั๊บฉันก็หลับเป็นตายทำไมห้องใหม่มันถึงทำให้ฉันง่วงได้ซะขนาดนี้นะ

“ อริส เรารอเธออยู่ ............ มาช่วยพวกเราด้วย มีเพียงเธอเท่านั้น” เสียงลึกลับดังผ่านสายลมแทรกอากาศมาหาฉัน

“ เสียงใครน่ะ ! รอฉันด้วย ..” แล้วที่นี้ที่ไหนทำไมมันมีแต่หมอกสีแดงอย่างนี้ล่ะ อย่ามาแกล้งกันนะฉันเริ่มกลัวแล้วนะรู้มั้ย

“ พวกคุณเป็นใครกันแล้วจะให้ฉันช่วยอะไรพวกคุณกันล่ะคะ” ฉันตะโกนไปทางเสียงนั้น แล้วฉันก็เดินตามเสียงนั้นผ่านกลุ่มหมอกสีแดง สีของมันแดงอย่างกับเลือด ฉันเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเจอรูปปั้น หญิงสาวตนหนึ่ง เธอดูเหมือนเจ้าหญิง บริเวณที่เธออยู่หมอกสีแดงโดนกั้นโดยพุ่มไม้ที่โค้งงอเหมือนกรงที่จองจำเจ้าหญิงไว้ สีหน้าของนางนั้นดูเศร้ามาก

“ เสียงของคุณหรือเปล่าคะ ? แล้วหนูสามารถช่วยคุณได้มั้ย ” ทำไมเมื่อฉันเห็นเจ้าหญิงแล้วฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันรู้จักนางรู้จักเป็นอย่างดีด้วย ฉันอยากจะช่วยเจ้าหญิงมาก แต่ตอนนี้ฉันเองก็เริ่มจะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นโดยไม่มีสาเหต มากด้วย ฉันเลยตัดสินใจเดินเข้าไปไกล้พุ่มไม้นั้น แต่อยู่ดีดีพุ่มไม้ก็หายไปพร้อมกับเจ้าหญิงก็ได้มลายกลายเป็นนกแล้วบินจากไปพร้อมกับพุ่มไม้ มีแสงจ้าเกิดขึ้นปรากฏห้องๆหนึ่งขึ้นต่อหน้าฉัน ฉันเดินเข้าไปในห้องนั้นทันที เพราะตอนนี้ฉันเริ่มเจ็บตรงหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหายใจไม่ออกแล้ว พอเข้ามาภายในห้องต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงภายในนี้ไม่มีหมอกควันเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีกลิ่นหอมของมวลดอกไม้นานาชนิด ฉันเริ่มรู้สึกดีขึ้น ทำไมในห้องนี้มันถึงได้ทำให้เรารู้สึกดีอย่างนี้

“ ไง ! ดีขึ้นมากเลยใช้มั้ยเจ้าหญิงอริส ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้กลิ่นอะไรรักษาพระองค์ได้ แต่พระองค์ก็ชอบมันใช้มั้ย” เสียงของชายแปลกหน้า หน้าตาดูดุร้าย ตัวอ้วนเตี้ย โพล่ออกมาจากกำแพงห้อง เขาเป็นใครกันทำไมแต่งตัวคล้ายกุ๊กทำอาหาร แต่มีหูฟังชีพจรของหมอคล้องคอเขาอยู่ แต่น้ำเสียงของเขาทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าเขาน่าจะมาดีและต้องเป็นคนดีแน่ๆ

“ คุณเป็นใครคะ? คุณลุงเป็นเจ้าของห้องนี้หรอคะ แล้วที่นี้ที่ไหนคะ หนูมาที่นี้ได้อย่างไร อุ๊บบบบ!! ” เชอร์รี่สีแดงฉ่ำมาปรากฎอยู่ในปากฉันได้ไงกัน ฉันคงถามเยอะไป อยู่ดีดีก็มีเชอร์รี่มาอยู่ในปาก พอมองไปตรงด้านหน้าก็ปรากฎโต๊ะอาหารขนาดใหญ่มโหราฬ บนโต๊ะมีอาหารจัดวางไว้มากมาย สังเกตดีดี.. นี้มันอาหารที่ฉันชอบทุกอย่างเลยนี้!

“ ทานให้อร่อยนะครับ” พอชายแปลกหน้าพูดจบเขาก็จะเดินกลับเข้าไปในกำแพงที่เขาออกมาก่อนหน้านี้

“ เดี๋ยวก่อนซิ ” ฉันรีบวิ่งไปดักไม่ให้เขาไปไหนจะไปได้ไงเรายังไม่รู้เรื่องไรเลยนะ

“ ผมไม่มีหน้าที่ที่จะเล่าอะไรให้เจ้าหญิงฟังได้ครับ มีหน้าที่แค่มารักษาและทำให้เจ้าหญิงมีความสุขที่สุดก็เท่านั้น” ชายแปลกหน้าพยายามจะไปแต่ฉันก็ไม่ยอมหรอก ฉันเดินไปขวางหน้าเขาแล้วถามว่า

“ แล้วคุณลุงเป็นใครหรอคะ แล้วทำไมต้องเรียกหนูว่าเจ้าหญิงด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากเล่าหรือบอกอะไรก็ไม่เป็นไรแต่บอกชื่อคุณลุงมาได้มั้ยคะ”

“ ผมชื่อ ฮีมิสส์ ครับ” พอชายแปลกหน้าบอกชื่อเสร็จเขาก็หายตัวผ่านไปในกำแพงทันที ฉันพยายามเดินตามไปแต่....

“ โอ้ยยยย..” ฉันไม่สามารถเดินผ่านกำแพงนั้นไปได้ แล้วเขาหายเข้าไปในนั้นได้ยังไงกัน ตอนนี้ก็เหลือแต่ฉันกับอาหารเต็มโต๊ะและความงุนงงต่อไปว่าที่นี้มันคือที่ไหนแล้วที่สำคัญคือ …

แล้วฉันจะกลับออกจากที่นี้อย่างไร ใจหนึ่งก็กลัวเพราะไม่รู้ว่าที่นี้มันที่ไหนแต่ใจหนึ่งก็อย่างว่าล่ะนะด้านหน้ามีแต่อาหารโปรดเต็มโต๊ะถ้าเราไม่ชิมมันซักนิดซักหน่อยก็เสียดายแย่เลย ฉันเดินไปนั้งที่เก้าอี้หัวโต๊ะขนาดของมันโตกว่าตัวฉันมากมันทำด้วยทองเหลืองอร่าม ฉันเริ่มที่ช๊อคโกแลตแท่งใหญ่ตรงหน้าก่อน รสชาติของมันหอมหวานมันส์อร่อยมีกลิ่นหอมหวนยวนใจ ในเนื้อช๊อคโกแลตมีผงทองคำเล็กๆผสมอยู่ด้วย รสชาติของมันเป็นช๊อคโกแลตที่ฉันคิดว่าไม่เคยมีใครเคยกินที่ไหนมาก่อนแน่ๆ เพียงพริบตาเดียวฉันก็กินมันจนหมด แต่เป็นเรื่องแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกอิ่มเลยแม้แต่น้อย ฉันยังสามารถกินอะไรได้อีกหลายอย่าง จากนั้นฉันก็กินต่อไปเรื่อยๆยิ่งกินมากแต่ก็ไม่อิ่ม เหมือนพอกินไปแล้วอาหารที่กินเข้าไปก็หายไป อาหารมันทำให้ฉันแค่รับรู้รสชาติของมันเท่านั้นโดยไม่ทำให้รู้สึกอิ่ม

หมดโต๊ะเลย!!.. ฉันกินเข้าไปได้ยังไงกันเนี้ย ฉันยังกินอะไรได้อีกหลายอย่างเลยนะเนี้ย ถ้าเอามาอีกชุดฉันก็ยังกินไหวอีกนะ ฉันสงสัยมากว่าฉันกินเข้าไปแล้วตอนนี้อาหารที่กินเข้าไปมันหายไปอยู่ที่ไหนหมดนะ แต่เมื่อกินอาหารจนหมดฉันเริ่มเดินสำรวจภายในห้องนี้ทันที ภายในห้องนี้เป็นห้องที่สวยมาก ฉันเดินมาที่หน้ากระจกเก่าบานหนึ่งดูมันสวยงามมาก มันถูกแขวนอยู่บนกำแพงห้อง ฉันเอื้อมมือไปแตะที่กระจกบานนั้น

วี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

..........................

มีเสียงดังมากดังออกมา มันดังมากจนฉันทนไม่ไหวฉันหลับตาปี๋ เอามือทั้งสองข้างมาปิดหูไว้แน่น ฉันรู้สึกป่วดหัว กลิ่นหอมในห้องตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไรฉันได้เลยแม้แต่น้อย

ฉันกรี๊ดลั่นห้อง แล้วฉันก็สดุ่งตื่นขึ้นมา แต่น่าแปลกที่ว่า .........

ห้องครัว.! ฉันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน? พอฉันตื่นขึ้นร่างของฉันที่ตอนแรกหลับอยู่บนที่นอนนุ่มๆบนห้องนอน แต่กลับมาตื่นอยู่ในห้องครัวได้อย่างไร

“ ไง! รู้สึกดีขึ้นมากเลยใช้มั้ยล่ะครับคุณหนู ” ชายคนนั้นพูดเหมือนในฝันเราเลยนี้ เขาจริงๆหรอเขามีตัวตนจริงๆหรอ ฉันอึ้งมาก พูดและทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้ ฉันได้แต่นึกเรื่องในความฝันว่านี้มันเรื่องอะไรกันแน่

“อ้าว...เป็นอะไรไปหละครับคุณหนู หิวมากจนมานอนรอผมในห้องครัวเลยหรอนี้ ” ชายคนนั้นพูดกับฉันด้วยสีหน้าขบขัน

“ คุณลุงชื่อ ฮีมิสส์ หรือเปล่าคะ”

“ ใช่ครับ รู้จักลุงด้วยหรอ ลุงเป็นพ่อบ้านที่บ้านหลังนี้ครับ แม่คุณหนูคงเล่าเรื่องลุงให้ฟังแล้วซินะ ถ้าต้องการขนมหรืออยากกินอะไรพิเศษก็บอกได้นะครับคุณหนูอริส ” ฮีมิสส์หรอ ชื่อเดียวกับชายคนนั้นเลย หน้าตาก็เหมือน นี้เราฝันถึงเขาก่อนจะได้เจอเขาจริงๆหรอเนี้ย หัวใจฉันเริ่มเต้นแรงเต้นไม่เป็นจัวหวะแล้วในตอนนี้

“ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ...แล้ว... คุณลุงฮีมิสส์ อยู่ที่นี้มานานแล้วหรือยังคะ ” ฉันอยากรู้ว่าลุงฮีมิสส์มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แล้วลุงฮีมิสส์รู้จักชื่อฉันได้อย่างไรกัน

“ ลุงฮีมิสส์รู้ชื่อหนูด้วยหรอคะ”

“ ก็ จะไม่รู้ได้ไงล่ะลุงอยู่ที่นี้มานานแล้วนะ คนในครอบครัวนี้ลุงก็ต้องรู้ชื่อทุกคนล่ะครับ ” ลุงฮีมิสส์พูดด้วยสีหน้าตกใจ ทำให้ฉันเองยังรู้สึกข้องใจอยู่ดี???

“ ลุงอยู่ที่นี้มาตั้งแต่สมัยคุณท่านอดัมยังอยู่จนตอนนี้ท่านได้จากไปแล้วแต่ลุงรักและยังมีหน้าที่ที่ต้องทำในบ้านหลังนี้อีกมากเลยลุงขอทำงานต่อที่นี้ครับ คุณหนูคงไม่ว่าอะไรนะครับ ”

“ หนูจะไปว่าอะไรคุณลุงได้ล่ะคะ แต่ว่า....แล้วหน้าที่ที่ต้องทำในบ้านหลังนี้คืออะไรหรือคะ ” ฉันว่าลุงฮีมิสส์ต้องมีความลับอะไรซักอย่างซ้อนอยู่แน่ๆ

“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คุณหนูอย่าสนใจเลย คงหิวมากเลยซินะเดี๋ยวลุงเอาขนมมาให้กินลองท้องก่อนดีกว่า รอแป๊บนะครับ ” ลุงฮีมิสส์ไม่ยอมบอกและหันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นทันที

“ เอาช๊อคโกแลตไหม” ลุงฮีมิสส์ยิบช๊อคโกแลตแท่งใหญ่ออกมาจากตู้เย็นแล้วยื้นมาให้ฉัน

“ ขอบคุณมากค่ะ .... อุ๊บ! ” !!!! ให้ตายซิ นี้มันรสชาติแบบเดียวกันกับที่ฉันได้กินในความฝันเลย ทั้งรูปทรงที่ใหญ่ รวมถึงกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจ และรสชาติที่หวานมันส์รสชาติแบบนี้ล่ะที่ฉันได้กินในตอนนั้นฉันไม่มีวันลืมรสของมันได้แน่ๆฉันแน่ใจ ฉันจ้องไปที่แท่งช๊อคโกแลตที่ถืออยู่ด้วยความประหลาดใจ ฉันอยากจะร้องกรี๊ดออกมาดังๆ มันต้องใช้แน่ๆดูนี้ซิ เนื้อช๊อคโกแลตมีผงทองเล็กๆ ผสมอยู่ด้วยนี้มันอะไรกันเนี้ย หรือนี้ ฉะ...ฉันกลับมาฝันอีกแล้วหรอ ฉันกัดที่มือตัวเองอย่างแรก

“ อุ๊ยยย...ก็เจ็บนี้หนา นี้เราไม่ได้ฝันไปแต่สิ่งที่เราฝันมันกลับกลายมาเป็นความจริงไปได้ยังไงกันเนี่ย”

“ เป็นอะไรไปล่ะคุณหนู ตกใจในสูตรลับของลุงล่ะสิถ้า นี้เป็นช๊อคโกแลตที่ลุงคิดสูตรขึ้นเองเลยนะคุณท่านอดัมท่านชอบมาก ” ลุงฮีมิสส์ยิ้มด้วยความภูมิใจในฝีมือของตัวเอง ตอนนี้ฉันเริ่มจะสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรื่องทั้งหมด ทำไมความฝันของฉันนั้นสามารถเกิดขึ้นจริง เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันเป็นครั้งแรกด้วยมันต้องมีอะไรมากกว่าที่ฉันรู้แน่ๆ

“ อ้าว ! เจอกันแล้วเหรอลูกรู้จักลุงฮีมิสส์หรือยังเขาจะมาอยู่กับเราที่นี้ด้วยนะ เขาเป็นพ่อบ้านที่นี้น่ะลูก”

“คะแม่... เรารู้จักกันแล้วค่ะ ” รู้จักกันก่อนที่จะเจอกันซะอีก แม่และพ่อของฉันเดินเข้ามาในห้องครัวเพื่อมาสำรวจความเรียบร้อยภายในตัวบ้าน

“ คุณฮีมิสส์ครับ เดี๋ยวทำอาหารเสร็จแล้วช่วยไปที่สนามหลังบ้านหน่อยนะครับ ผมจะเอารูปปั้นข้างหลังบ้านออก พอดีจัดสวนหน้าบ้านเสร็จแล้วคิดว่าจะย้ายมันไปไว้ในสวนหน้าบ้านน่ะครับ ”

“ รูปปั้นที่อยู่ในสวนดอกกุหลาบหรือเปล่าครับ !!! ” ลุงฮีมิสส์พูดด้วยน้ำเสียงตกใจมาก จนทำให้ฉันพาลตกใจไปด้วย

“ มีอะไรหรือเปล่าครับ ???? ”

“ คะ..คือ รูปปั้นนั้น คุณท่านอดัมไม่อนุญาติให้ใครไปยุ่งกับมันน่ะครับไม่ให้ใครไปเคลื่อนที่หรือทำอะไรกับมันโดยเด็ดขาด สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ปลูกดอกกุหลาบไว้ในบริเวณนั้นเสมออย่าให้ขาดน่ะครับ” ลุงฮีมิสส์ห้ามไม่ให้พ่อของฉันทำอะไรกับรูปปั้นหินนั้นโดยเด็ดขาด นี้ก็คงเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่สำคัญในบ้านหลังนี้ของลุงฮีมิสส์ซินะ แต่รูปปั้นนั้น มันคือรูปปั้นของอะไรกันล่ะถึงมีความสำคัญกับคุณปู่อดัมมากขนาดนั้น

“ แล้วรูปปั้นนั้น...มันคือรูปปั้นอะไรหรอคะ” ฉันถามลุงฮีมิสส์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างออกนอกหน้าบวกกับความสงสัยเล็กน้อย ลุงฮีมิสส์ตอบว่า

“ มันคือ... รูปปั้นของแซร์ร่า ”